Wednesday, November 18, 2009

The New Year Cards of His Majesty the King of Thailand


























Monday, October 12, 2009

FALL IN TORONTO



สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่สวยงามจับใจคนทั่วโลกอยู่ที่แคนาดานี่เอง การเดินทางจากไปของฤดูร้อนที่สดชื่นสวยงามด้วยเหล่าไม้ดอกไม้ใบ, ต้นไม้หลากหลายพันธุ์ เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวต้อนรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ฤดูหนาวอันยาวนาน เหล่าพืชพันธุ์ถึงเวลาสลัดใบเพื่อยืนเปลือยต้นต้านความหนาวเย็นในกองน้ำแข็งจากท้องฟ้า จนกว่าจะหมดสิ้นฤดูหนาว




การเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงคือการเปลี่ยนสีก่อนปลิดใบ ต้นเมเปิลเป็นพันธุ์ไม้หลักของประเทศแคนาดา สามารถเติบโตได้ในทุกอนูพื้นที่ในถิ่นอเมริกาเหนือ จากใบไม้สีเขียวขจีที่ปกคลุมพื้นดินอย่างหนาแน่นให้ความสดชื่นในฤดูร้อน จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด สีส้ม และสีเหลือง โดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะปลิดใบทิ้งทับถมลงบนพื้นดินตามฤดูกาล เหลือไว้เพียงโครงร่างอันเปลือยเปล่าของลำต้นและกิ่งก้านสาขา เป็นความสวยงามอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติในภูมิภาคนี้ ใบเมเปิลสีแดงสดได้กลายมาเป็นสัญญลักษณะของประเทศแคนาดา ได้ปรากฎอยู่บนธงชาติของประเทศนี้สอดคล้องกับความเป็นประเทศบนดินแดนมหัศจรรย์ที่ปกคลุมด้วยพืชพันธุ์นี้



ปรากฏการแห่งธรรมชาติบนทวีปอเมริกาเหนือ ได้สร้างภาพจิตกรรมอันสวยงามเกินกว่าน้ำมือมนุษย์จะบรรจงสร้างสรรค์ได้ เพราะนี่คือความสวยงามเกินกว่าที่จะบรรยาย ใบไม้สีทอง สีเหลือง สีส้มแสดแดง จะสะท้อนแสงส่องสว่างเป็นเงาสีทอง ฉาบฉายทุกอณูพื้นที่ที่เราก้าวย่างไป สดใสสวยงามดั่งฉากของเทพนิยายปรัมปรา วิจิตรพิศดารมากกว่าจินตนาการที่มนุษย์สร้างไปถึง



วันเวลาแห่งฤดูใบไม้ร่วงนั้นสั้นนัก เพียงชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ใบไม้สีสวยเหล่านี้จะปลิดใบร่วงลงสู่ดินจนหมดสิ้น จากความสดใสในทุกอณูพื้นที่กลายเป็นความว่างเปล่า เหลือเพียงร่างไม้เปลือยยืนคอยต้อนรับลมหนาวแรกของฤดูกาลแห่งลมมรสุมมาสัมผัส เมื่อใบใม้เมเปิลใบสุดท้ายปลิดตัวเองลงมาสัมผัสดิน นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกชาวแคนาดาให้เตรียมตัวเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นอันน่าเบื่อหน่ายอีกครั้ง



ความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของผืนฟ้าเบื้องบนที่เปลี่ยนจากสว่างสดใสเป็นผืนฟ้ามืดหมนขมุกขมัว ลมเย็นที่พัดมาสัมผัสผิวกาย เตือนเราให้หยิบเสื้อผ้าหนาหนักออกมาเตรียมเอาไว้ แล้วฤดูใบไม้ร่วงก็จากเราไป ธรรมชาติเปลี่ยนผ่านฤดูกาลปีแล้วปีเล่า หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านมานานแสนนาน แต่ความประทับใจในฤดูใบไม้ร่วงอันแสนสั้นทำให้เราต้องอดใจรอวันที่มันจะหมุนเวียนกลับมาอีกในปีหน้า



ฤดูกาลเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ มนุษย์เราต้องปรับตัวตามไปทุกวัน ปีแล้วปีเล่า ในฤดูร้อนเราอาศัยร่มไม้กางกั้นป้องกันแสงแดดร้อนแรง เมื่อต้นไม้ปลิดใบลงสู่ดิน อากาศร้อนอบอ้าวกลายเป็นลมเย็นพัดผ่านมา มนุษย์เริ่มห่มห่อร่างกายให้อบอุ่น หนาขึ้น มากชั้นขึ้น จนเข้าสู่ฤดูหนาวอันแสนทรมาน ผิวโลกก็จะถููกปกคลุมด้วยเกร็ดน้ำแข้งจากท้องฟ้าอันมืดมัว ร่วงทับถมหนาแน่นส่งไอเย็นขึ้นไปจรดกับลมมรสุมหิมะที่พัดพามวลน้ำแข็งโปรยลงมาลูกแล้วลูกเล่าจนกระทั้งจบสิ้นฤดูหนาว



เมื่อวันที่ท้องฟ้าใสกระจ่างขึ้น เกร็ดน้ำแข็งจากท้องฟ้าก็กลายเป็นน้ำฝนเพราะหล่นผ่านอากาศที่อบอุ่นขึ้นอีกครั้ง น้ำฝนใสๆ จะชะล้างละลายน้ำแข็งบนพื้นดินให้แทรกซึมลงไปใต้แผ่นพื้น ปลุกชีวิตพืชพันธุ์ให้หยัดยืนฟื้นขึ้นมา ถึงเวลาฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอีกครั้ง อีกไม่นานเมื่อฤดูร้อนผ่านไป ฤดูใบไม้ร่วงก็จะกลับมาใหม่ ไม่นานเกินรอ



วัฏจักรแห่งชีวิตและวัฏจักรแห่งฤดูกาลประสานกันหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ แต่เราก็ยังรอคอยที่จะได้พบความมหัศจรรย์ของฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ให้สมกับที่รอคอย






















QUEEN STREET

ถ้าจะให้สมญานามของ Yonge Street ที่เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางของ downtown Toronto เป็นถนนสายโลกีย์ที่ไม่มีวันหลับ Queen Street ก็น่าจะได้รับสมญานามว่า "ถนนสายศิลปะ" ที่สวยงามอย่างมีเอกลักษณ์
ความเป็น Queen Street คือการรวบรวมเอาธุรกิจในงานศิลปะ แฟชั่น งานอนุลักษณ์ งานออกแบบสมัยใหม่ ร้านอาหาร ภัตตาคาร งานดนตรี ร้านของถูก ฯลฯ เอามาตั้งอยู่บนถนนสายนี้ เป็นการผสมผสานความเก่าแก่ของตัวอาคาร ความทันสมัยในการออกแบบของร้านรวง ร้อยเรียงออกมาเป็นงานศิลปอันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจตลอดเส้นทางที่ตัดผ่าน downtown Toronto กลายเป็นเมืองเที่ก่าแก่แต่ทันสมัยทันกาลเวลา หากได้เดินเล่นผ่านอาคารร้านรวงต่างๆ จะได้ความรู้สึกเหมือนได้ชมงานศิลปกลางแจ้ง
















































Often compared to New York City's Soho, Queen Street is the place to go for trendy dining and nightlife, plus cutting-edge fashion, art galleries, antique shops and bookstores.

Monday, September 21, 2009

THE PARTY IS OVER


งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา
สถานการณ์เปลี่ยนแต่มิตรภาพไม่เคยเปลี่ยน ในวันที่เราเริ่มตั้งวงกินเหล้ากันแบบไทยๆ เมื่อหลายเดือนก่อน ความสุขที่พวกเราสัมพัสได้ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะจากเรื่องเล่าเรื่องสนุกในวงเหล้า หรือกับแกล้มที่พวกเราสรรหากันมาทำกิน แต่เราได้รับรู้ถึงสิ่งที่ขาดหายไปในสังคมของพวกเราในแคนาดา วัฒนธรรมตะวันตก ไม่มีการนั่งล้อมวงกินเหล้าพร้อมกับแกล้มแบบไทย ในงานเลี้ยงงานสังสรรค์พวกฝรั่งจะยืนกินเหล้าพูดคุยกันก่อนนั่งโต๊ะกินข้าวแล้วเลิกลากันไป หรือถ้าเป็นงานสังสรรค์หลัง dinner ก็จะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ออกไปยืนกินเหล้ายืนเต้นกันในผับในบาร์โดยไม่ไม่กินอาหารอะไรกันอีก ถ้าเป็นงานแบบ Summer BBQ ในฤดูร้อนก็แค่เดินถือกระป๋องเบียร์แก้วเหล้าแก้วไวน์เดินคุยกันไปกินอาหารปิ้งย่างกันไป ต่างจากวัฒนธรรมของพวกเราที่จะนั้งกันเป็นวงกันวงเล็กวงใหญ่ล้อมกรอบขวดเหล้าผสมโซดากับน้ำแข็งคุยเฮกันไปกินกับแกล้มกันไปไม่มีการแตกวงจนเมาได้ที่เลิกวงกันไป ดังนั้นบทสนทนาในงานสังสรรค์แบบของฝรั่งส่วนใหญ่จะกระจายเป็นปัจเจกชนจับคู่จับกลุ่มเล็กๆยืนพูดคุยกันไปแล้วก็เดินสลับสับเปลี่ยนจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งหรืออีกกลุ่มหนึ่งตามอัธยาศัยจนงานเลี้ยงเลิกลากันไป พวกเราจะนั้งคุยเฮฮากันไปในเรื่องเดียวกัน เน้นความสนุกสนานกระเซ้าเย้าแหย่กันไปในวงเล็กวงใหญ๋ อาหารกลางวงก็สรรหาของชอบของอร่อยเสด็จสะเด่า จัดหาจัดทำอาหารแปลกๆ อาหารหากินยากเอามากินกันในวงเหล้า ตัวอย่างเช่น กุ้งแช่น้ำปลา, ยำสามรส, ยำปลากรอบ, ยำไข่เยี่ยวม้า, ต้มยำไก่บ้าน, กุงเต้น ( ก้อยกุ้ง ), ลาบเป็ด, ปลานิลย่าง, ปลาช่อนเผา, กั้งทอดกระเทียม, หนังกบทอด, อ่อมเพลี้ย, ต้มเครื่องในร้อนๆ, ซกเล็ก
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเสมอ แต่เรื่องราวเหตุการณ์ที่เราเผชิญกลับผ่านไปรวดเร็วกว่า เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นแล้วผ่านไป เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป พวกเราเพียงแต่รับทราบเรียนรู้เก็บเกี่ยวสะสมไว้เป็นประสบการณ์ เรื่องราวในวงเหล้า
(ยังไม่จบนะ กำลังเขียนอยู่)

MUSIC FOR LIFE


ดนตรีตลอดชีวิต
ชีวิตในวัยเด็กนอกจากความสนุกสนานไปกับเพื่อนฝูงมากมายแล้ว ดนตรีคือเรื่องสนุกที่ชืนชอบมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ เริ่มจากชอบร้องเพลง ต่อมาเรียนตนตรีเล่นดุริยางค์กับโรงเรียน ต่อมาเล่นวงดนตรีไทยเดิม แล้วก็เริ่มเล่นดนตรีอย่างจริงจังกับกีต้าร์ตัวแรก แล้ววันหนึ่งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะได้กลับมาเล่นดนตรีที่เรารักอีกครั้งหนึ่ง












(ยังไม่จบนะ กำลังเขียนอยู่)




For the love of music

Papaya Salad



สมตำบังคลาเทศ

ขึ้นชื่อเรื่องส้มตำบังคลาเทศให้สงสัยกันก่อนว่ามันเป็นอย่างไร รับรองว่าเป็นส้มตำบังคลาเทศจริงๆ แต่ก่อนที่จะเขียนบอกเล่าไปถึงก็ขอ บอกเล่าเรื่องส้มตำที่พวกเราคุ้นเคย ต้องตั้งคำถามก่อนว่าพวกเรารู้จักส้มตำดีแค่ไหน ลองมาศึกษากันดูก่อน

ประวัติส้มตำ
(ที่มา วิกิพีเดีย)

ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้ง แรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้
มะละกอเป็น พืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด

คนมักเข้าใจกันผิดว่าส้มตำเป็นอาหารพื้นเมืองของภาคอีสานหรือของลาว แท้จริงแล้วส้มตำเป็นอาหารสมัยใหม่ถือกำเนิดมาราว 40 ปีเท่านั้น เนื่องจากในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาลไทยให้สหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งฐานทัพ และตัดถนนมิตรภาพเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่สู้รบ พร้อมกันนั้นได้นำเมล็ดพันธุ์มะละกอไปปลูกสองข้างทางของถนนมิตรภาพ มะละกอจึงเผยแพร่ไปสู่ภาคอีสาน เปิดโอกาสให้ชาวอีสานได้ประดิษฐ์ส้มตำขึ้น

ส้มตำ เป็นอาหารที่คนอีสานชอบและกิน กินกับข้าวเหนียวหรือกินเล่นๆ ก็ได้ คนภาคอีสานและภาคเหนือเรียกว่า ตำส้ม การทำส้มตำทำง่ายๆ คือ นำมะละกอที่โตเต็มที่แล้วแต่ยังไม่สุกหรือมะละกอห่ามๆ เกือบจะสุก มาปลอกเปลือกออก ล้างเอายางออกให้สะอาดแล้วสับไปตามทางยาวของลูกมะละกอ สับได้ที่แล้วก็ซอยออกเป็นชิ้นบางๆ จะได้มะละกอเป็นเส้นเล็กๆ ปลายเรียว เมื่อได้ปริมาณมากตามต้องการแล้ว ต่อไปก็เตรียม พริก กระเทียม มะนาว น้ำปลา ถ้าเป็นส้มตำแบบอีสานแท้นั้นใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลาหรือจะใช้ทั้งสองอย่าง

เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้วก็นำ พริก กระเทียมมาใส่ลงในครก ใช้สากตำละเอียดพอประมาณ ใส่มะละกอที่ซอยไว้แล้วลงไป ตำให้พริก กระเทียม มะละกอคลุกเคล้ากันให้เข้ากันดี หากเตรียมมะเขือเทศและถั่วฝักยาวมาด้วยก็จะฝานผสมลงไป เติมมะนาว น้ำปลาร้า และน้ำปลา ตำคลุกเคล้ากันดีแล้ว ตักชิมรสดู เติมเปรี้ยวหรือเค็มตามต้องการ แล้วตักใส่จาน กินกับข้าวเหนียวได้พร้อมกับกับข้าวอย่างอื่น คนอีสานกินส้มตำเป็นกับข้าวได้ทุกมื้อ

ต่อมาตำส้มของชาวอีสานแพร่หลายลงมาภาคกลาง อาจเนื่องมาจากชาวอีสานมาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ตำส้มแบบอีสานก็แพร่หลายในกรุงเทพและส่วนอื่นๆของประเทศไทย โดยเฉพาะร้านข้าวเหนียวส้มตำจะแพร่หลายอยู่ตามกลุ่มคนงานชาวอีสาน

นอกจากส้มตำก็จะมีไก่ย่าง ปลาดุกย่างและอาหารอื่นๆด้วย ส้มตำเลยเป็นที่นิยมแพร่หลาย การทำส้มตำจึงมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับคนภาคกลาง เช่น เพิ่มน้ำตาลให้มีรสหวาน เพิ่มถั่วลิสงคั่ว และกุ้งแห้ง ตัดปลาร้าออกใช้แต่น้ำปลาเป็นต้น ส้มตำ หรือ ตำส้มจึงมีรสดั้งเดิมแบบอีสาน หรือแบบภาคกลาง เรียกว่า ตำไทย ซึ่งออกรสหวาน ยิ่งกว่านั้นยังมีการเพิ่มปูดองเข้าไปอีกเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่ง ขึ้น

ตำส้มของชาวอีสาน ไม่เฉพาะแต่มะละกอเท่านั้น ผลไม้อย่างอื่นที่ยังไม่สุกก็นำมาทำเป็นตำส้มได้ เช่นขนุนอ่อน มะม่วง มะยม เป็นต้น ปัจจุบัน ส้มตำมิใช่แพร่หลายเฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น ส้มตำแพร่หลายออกไปจนกลายเป็นอาหารที่นานาชาติรู้จักและเป็นอาหารจานโปรดของ นักท่องเที่ยวที่โรงแรมชั้นหนึ่งทุกแห่ง ที่สำคัญ ทหารอเมริกันที่มารบกับเวียดนาม มาประจำที่ฐานทัพในประเทศไทย ต่างก็ติดใจตำส้มอีสาน นำไปเผยแพร่ที่อเมริกาจนรู้จักกันไปทั่วโลกทีเดียว

ส้มตำแบบต่างๆ

  • ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
  • ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
  • ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำซั่ว ใส่เส้นขนมจีนแทนเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
  • นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง, "กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย"], แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง", ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว" และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้
  • นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

(ยังไม่จบนะ กำลังเขียนอยู่)

GREEN MANGO SALAD OR GREEN APPLE SALAD ?


ยำมะม่วง กับยำแอ๊ปเปิล
(ยังไม่จบนะ กำลังเขียนอยู่)

Monday, September 7, 2009

การเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแปลง




แล้วสมาคมของเราก็เดินทางมาถึงวันเปลี่ยนแปลง
การวิ่งวูบผ่านไปอย่างรวดเร็วของฤดูร้อนในโตรอนโต พร้อมกับการเดินทางมาถึงหน้าประดูบ้านของฤดูใบไม้ร่วง เป็นความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกว่าวิถีชีวิตของพวกเรา เหล่าสมาชิกชมรมคนชอบกินเหล้าคืนวันพุธ แต่ความเคลื่อนไหวที่เป็นสัญญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดที่เราเห็น กลับเป็นการปรากฎ ตัวของนักศึกษา U of T (University of Toronto) กับการมองเห็นได้ของความคึกคักของเด็กๆ และผู้ปกครองที่ออกมาจับจ่ายสินค้าต้อนรับการเปิดเทอม ร้านอาหารของเราก็ได้รับรู้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและความกระชุ่มกระชวยของเหล่าลูกค้าหนุ่มสาว ที่กลับเข้ามา Toronto เพื่อเตรียมตัวสำหรับฤดูการศึกษาใหม่ รวมถึงลูกชายคนหนึ่ง ของท่านประธานชมรม ก็เป็นนักศึกษาของ U of T.
September เป็นเดือนสำคัญของคนทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งกำหนดเอาเดือนกันยายนเป็นเดือนเริ่มต้นของปีการศึกษาใหม่ สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา หลังจากเก็บเกี่ยวความอบอุ่นความสดชื่นของฤดูร้อนสะสมเอาไว้ให้หนำใจแล้ว September ก็เป็นรอยต่อของฤดูร้อนที่จากไปอย่างรวดเร็ว และเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวอันยาวนานที่เคลื่อนตัวโอบล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ การเปลี่ยนไปของโทนสีของท้องฟ้าที่ครอบคลุมโตรอนโตเอาไว้ อุณหภูมิที่สัมผัสผ่านผิวกายของเราก็กระซิบบอกให้เตรียมต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง สื่อต่างๆ เริ่มโฆษณาขายยาแก้ภูมิแพ้ ที่เป็นโรคบอกฤดูกาลของคนแคนาเดี้ยน สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงเดินทางมาถึงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนั้นได้แทรกซึมเข้ามาถึงวงเหล้าของเราแล้วในวันนี้ CIA หรือชื่อใหม่ "คุณนรินทร์" เป็นคนชงเหล้าต้อนรับแขกคนใหม่ผู้มาเยือนด้วยอัธยาศัยไมตรี พร้อมกับบอกกล่าวกับสมาชิกว่าเราจะมีการเปลี่ยนแปลง

เรื่องเขียนดีๆ ต้องมีน้ำ
ใครบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า นักเขียนดีๆ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นหลังจากส่งเนื้อเรื่องให้พวกเราได้อ่านกันไปตอนหนึ่งเพื่อขอฟังคำติชมจากเหล่าสมาชิก ปรากฎว่าคำวิจารณ์ที่ประทับใจมากที่สุดนั้นได้มาจาก CIA
ในวงเหล้าคืนวันนั้น เราย้ายวันนัดดื่มจากคืนวันพุธมาเป็นคืนวันศุกร์ โดยเหตุผลเพื่อต้อนรับการปิดเทอมที่สมาชิกต้องตื่นแต่เช้ารับภารกิจส่งลูกไปโรงเรียนและทุกคนต้องทำงานเช้าวันพฤหัส เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บุคลิกภาพ และภาพพจน์ดูดีในสายตาวิญญูชนทั่วไป เพราะการเมาค้างไปปรากฎตัวต่อสังคมยามเช้าไม่เป็นน่าดูชมเท่าไหร่ ทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นเหล้า นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่เราได้ตกลงปลงใจกันเมื่อสัปดาห์ก่อน
เราเปิดชมรมในคืนวันศุกร์แรกด้วย แกงส้มปลาช่อนแปะซะกับชะอมทอด, หูหมูจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซบ และลูกชิ้นหมูห่อใบเกี๊ยวทอดกรอบ เราลงทุนตั้งหม้อไฟแก๊สสำหรับแกงส้มแปะซะเพื่อให้ได้บรรยากาศร้านคาเฟ่ น้ำแกงรสเข้มเร่าร้อนในอุณหภูมิน้ำเดือด กลิ่นฉุยควันโฉยวนใจ แต่กับแกล้มที่ถูกอกถูกใจที่สุดของพวกเราคือเรื่องคุยในวงเหล้า ความสัมพันธ์ที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานของพวกเราอยู่กับเรื่องราวต่างๆ ที่เราหยิบเอามาพูดคุยกัน ในแต่ละครั้งในตืนชุมนุมเรามีเรื่องหลากหลายทั้ง สังคม การเมือง กีฬาและเรื่องเซ็กซ์ พวกเราวิจารณ์การเมืองไทยที่กำลังสับสนวุ่นวายด้วยความห่วงใยประเทศบ้านเกิด ทางด้านสังคมเราหยิบยกเอาบุคคลต่างๆ เอาวิพาก โดยมีการตอกใข่ใส่ข่าว คลุกน้ำปลาชุบแป้งทอด เพื่อปรุงออกมาให้เป็นเรื่องราวที่ตลก สนุกสนาน ชวนหัว สำหรับเรื่องเซ๊กซ์ เราจับเอาปมด้อยของบุคคลต่างๆ เอามาแก้ไขปรับปรุง ยำด้วยน้ำปลา มะนาว พริกสดและน้ำพริกเผา แล้งเราก็จะได้เรื่องราวอีกมิติหนึ่งที่สร้างอารมณ์ขันกันสุดเหวี่ยว เสียงหัวเราะแบบหลุดโลกคือกับแกล้มที่ให้ความบันเทิงใจหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการงาน

Turning point is arrive.
And then our Association has to meet the turning point.
Summer in Toronto is running fast through the flash of the end. With the arrival of the fall is knocking the front door. It’s moving faster then our lives, those members who prefer to consume alcoholic’s night on Wednesday. But the symbol of the most concrete changes we see is appearance of students of U of T (University of Toronto) belong with a view of the vitality of children and parents in the back to school shopping. Our restaurant has been known to increase sales of their customers, which healthy and freshly young adults who returning to Toronto to prepare for the season, including the sons of our club president is also student of U of T. September is an important month of North American people. September is setout to be the beginning of the new academic year which consistent to their lifestyle. After harvesting the fresh warmth of summer into our lives just like squirrel correct all nuts for winter, then September is the boundaries end of summer and the beginning of a long winter is moving into round slowly. The changing of tone color of the sky that covering the Toronto, the temperature exposure of the body through the skin are telling us to prepare to welcome breathing fall. Medias start advertising to sale allergy medicine. The disease reminds Canadian the season that came by. Signs of change already arrived and slowly infiltration into our club today. CIA (or a new name called "Mr. Pourer") pours wine into a glass to hospitably welcome the new visitor (fall season), then he notifies to our members “We will be changed”.


(ยังไม่จบนะ กำลังเขียนอยู่)

Thursday, August 6, 2009

กรณีศึกษา

กรณีศึกษา
(บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ชาวไทย ฉบับ มกราคม 2547)
คนญี่ปุ่นชอบเนื้อปลาสดแต่ ทะเลหรือแหล่งน้ำแถบญี่ปุ่นนั้น ไม่มีปลาชุกชุมมานานหลาย ทศวรรษแล้ว ดังนั้นเรือประมงทั้งหลายจึงมีขนาด ใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถหาปลาได้เพียงพอต่อการ บริโภค ชาวประมงออกไปหาปลาในน่านน้ำที่ไกล ออกไป ยิ่งออกจากฝั่งไปไกลก็ยิ่งใช้เวลานานเวลา นำปลากลับมา ถ้าออกทะเลไปนาน เกิน 2-3 วัน ปลา ก็จะไม่สดและคนญี่ปุ่นไม่ชอบรสชาติแบบนั้นวิธีแก้ ปัญหาก็คือ
บริษัทประมงทำการติดตั้งตู้แช่แข็งเอาไว้บนเรือ พอจับ ปลาได้ก็เอาใส่ไว้ในตู้แช่แข็งตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในทะเล ทำให้พวกชาวประมงสามารถ ออกไปหาปลาได้ไกล จากฝั่งมากขึ้น แต่ว่าคนญี่ปุ่นก็สามารถแยกความ แตกต่างในรสชาติของเนื้อปลาสดกับเนื้อปลาแช่แข็ง ได้อยู่ดี และพวกเขาก็ไม่ชอบปลาแช่แข็งเสียด้วย ปลาแช่แข็งจึงมีราคาถูก เมื่อเป็นเช่นนั้นบริษัทประมงจึง ทำการติดตั้งแท้งค์น้ำ แล้วเอาปลาที่จับได้ใส่ลงไป แต่พอถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและต้องโคลงเคลงอยู่ใน แทงค์นานๆเข้าปลาก็ไม่ยอมว่าย มันอ่อนล้าแล้วก็ เซื่องซึมลงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม
โชคไม่ดีที่คนญี่ปุ่นก็ยังสามารถแยกความแตกต่าง ในรสชาติของเนื้อปลาได้อยู่เหมือนเดิม ปลาเหล่านั้น ไม่ให้รสชาติความสดใหม่เสียแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ ว่ายมาหลายวัน คนญี่ปุ่นชอบรสชาติความสดของ ปลาใหม่ๆมากกว่าปลาเฉื่อยๆแบบนั้น บริษัทประมง ญี่ปุ่นแก้ปัญหานี้อย่างไร? พวกเขาจะจับปลาที่ให้ รสชาติของความสด ใหม่กลับประเทศอย่างไร? หากคุณ จะให้คำปรึกษาแก่อุตสาหกรรมประมงคุณจะแนะนำ อย่างไร?
เสือ... ไม่ยอมกินเหยื่อที่ตายแล้ว
คน.... ก็ไม่ชอบกินปลาที่ตายแล้วเหมือนกัน
บางทีการเป็น “ของตาย” มันก็ไม่น่าสนใจอะไร อีกต่อไป ทางแก้ปัญหาเรื่องปลาของญี่ปุ่น ... ง่ายนิดเดียว ชาว ประมงญี่ปุ่นเค้าจะใส่ปลาไว้ในแทงค์แล้วก็ใส่ ”ปลา ฉลาม” ลงไปในแต่ละแทงค์ด้วย ปลาฉลามอาจ กินปลาไปนิดหน่อยแต่มันทำให้บรรดาปลาส่วนใหญ่ มีชีวิตชีวามากขึ้น ปลาก็ผจญกับเรื่องท้าทาย ไม่เบื่อ หน่าย ไม่เป็นปลาที่รอวันตาย ความท้าทายที่พอดี ทำให้ เราสนุกกับปัญหาสนุกกับสิ่งกระตุ้นใหม่ๆที่เข้ามา
ครับ... ที่ยกเรื่องอ้างมาทั้งหมดนี้ผมเพียงต้องการ อธิบายว่าทำไม ผมจึงหาเรื่องมาทำหนังสือชาวไทยให้ พวกเราอ่านกัน ไม่ใช่เรื่องสนุกอะไรหรอกครับ เมื่อ 8 ปี ที่แล้วผมก็คิดว่าน่าจะทำสื่ออะไรออกมาสำหรับคนไทย สักหน่อย พอที่จะไม่ให้ชีวิตพวกเราในต่างแดนมัน อัปเฉาจนเกินไป ถึงวันนี้ผมก็ยังคิดอยู่เหมือนเดิม การทำอะไรที่มันท้าทายความสามารถออกมาบ้าง ผม คิดว่าผมได้กำไรชีวิตนิดหน่อย และขอแบ่งปันกำไรให้ พวกเราชาวไทยบ้างเล็กน้อย ผมว่าเราได้ความยุติธรรม ขนาดกำลังเหมาะ ยกเป็นกรณีศึกษาก็ได้ครับ.

Cheese


ความรู้เรื่อง ชีส

เมื่อเอ่ยถึง ชีส (cheese) หลายท่านคงเข้าใจว่า ชีส ก็คือ เนย แต่ที่จริงแล้ว เนย คือไขมันล้วน ๆ ที่ถูกแยกออกมาจากไขมันนมสด สำหรับ ชีส คือผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเปลี่ยนลักษณะไปเป็นของแข็งด้วยกระบวนการทางอุตสาหกรรมอาหาร โดยการเติมเชื้อจุลินทรีย์ลงไปในนม ให้นมจับกันเป็นลิ่ม และแยกตัวเป็นชั้นของแข็งเรียกว่า “เคิร์ด” ซึ่งในส่วนนี้จะถูกนำมาทำเป็น ชีส และในชั้นของเหลวเรียกว่า “เวย์” ที่มีคุณค่าทางอาหารจะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ บางครั้งยังสามารถนำไปทำยา หรือเครื่องบำรุงผิวเมื่อทราบว่า ชีส คืออะไรแล้ว ต่อไปจะเล่าว่า ชีส มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไรบ้าง ชีส เป็นแหล่งอาหาร ที่ประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส สังกะสี สูงไม่แพ้นม และวิตามินบี 12 ของอาหารประเภทมังสะวิรัตน์อีกด้วย ขณะที่มีน้ำตาลแลคโตสในอัตราที่ต่ำกว่านม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม
สำหรับท่านที่มีปัญหาในการดื่มนม อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ บางคนร่างกายขาด “น้ำย่อยแลคโตส” หรือมีน้อย ทำให้เมื่อดื่มนมแล้ว ร่างกายไม่สามารถที่จะย่อย
น้ำตาลแลคโตสที่มีอยู่ในนมได้ ส่งผลให้น้ำตาลแลคโตสที่เหลืออยู่ในร่างกายผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรีย จนเกิดการหมักหมมเป็นก๊าซ และกรด ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือปวดท้อง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม จึงหันมารับประทาน ชีส แทนโดยไม่เกิดอาการแพ้เหมือนการดื่มนมเนื่องจาก ชีส เป็นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้น ชีส จึงเหมาะสมสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งต้องการอาหารที่มีพลังงาน และสารอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน และแคลเซี่ยมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อกระดูก ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแกร่งควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยสูงอายุนอกจากนี้ ชีสยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน เพราะมีน้ำตาลในปริมาณต่ำ แต่มีโปรตีนในรูปของแคลเซี่ยมที่ช่วยเคลือบผิวฟัน และป้องกันฟันผุ การรับประทาน ชีส อาจจะได้รับไขมันมากกว่าการดื่มนมเล็กน้อย แต่จะให้คุณประโยชน์มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ ชีส ให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเหมือนนม สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก อาจเลือกรับประทาน ชีส ที่ทำจากไขมันต่ำ เพราะจะมีคลอเรสเตอรอลต่ำด้วยเช่นกัน ดังนั้น ชีส จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย
“น้ำตาลแลคโตส” ที่มีอยู่ในนมได้ ส่งผลให้น้ำตาลแลคโตสที่เหลืออยู่ในร่างกายผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรีย จนเกิดการหมักหมมเป็นก๊าซ และกรด ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือปวดท้อง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม จึงหันมารับประทาน ชีส แทนโดยไม่เกิดอาการแพ้เหมือนการดื่มนม
เนื่องจาก ชีส เป็นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้น ชีส จึงเหมาะสมสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งต้องการอาหารที่มีพลังงาน และสารอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน และแคลเซี่ยมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเนื้อกระดูก ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ (การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแกร่งควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยสูงอายุ) นอกจากนี้ ชีส ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน เพราะมีน้ำตาลในปริมาณต่ำ แต่มีโปรตีนในรูปของแคลเซี่ยมที่ช่วยเคลือบผิวฟัน และป้องกันฟันผุ
การรับประทาน ชีส อาจจะได้รับไขมันมากกว่าการดื่มนมเล็กน้อย แต่จะให้คุณประโยชน์มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ ชีส ให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเหมือนนม สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก อาจเลือกรับประทาน ชีส ที่ทำจากไขมันต่ำ เพราะจะมี คลอเรสเตอรอล ต่ำด้วยเช่นกัน ดังนั้น ชีส จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย

Garlic & Pepper


กระเทียมพริกไทย
อาหารไทยที่อร่อยแบบง่ายๆ อีกจานหนึ่ง น่าจะเป็นพวกผัดหรือทอดกระเทียมพริกไทย ที่สามารถหยิบเอาพวกเนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล อะไรก็ได้มาทำกระเทียมพริกไทย

Tuesday, July 28, 2009

Five important lessons

บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด
ระหว่างเดือนที่สองของฉันหลังเข้าเรียนที่วิทยาลัย อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามเหล่านั้นได้ไม่ยากนัก จนมาถึงคำถามข้อสุดท้าย "สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร" ฉันคิดว่าต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเห็นหล่อนหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุประมาณ 50 กว่าๆ แต่ฉันจะไปรู้ชื่อเธอได้อย่างไร ก่อนหมดคาบเรียน ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งได้ถามอาจารย์ว่า คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมเป็นคะแนนของผลการทดสอบด้วยหรือไม่ "แน่นอน" อาจารย์ตอบพร้อมกับให้บทเรียนกับพวกเราว่า " ในการประกอบวิชาชีพของพวกคุณ คุณจะต้องพบกับผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่จะได้รับความสนใจและสมควรเอาใจใส่ แม้ว่าพวกคุณจะทำได้แค่กล่าวคำทักทายหรือเพียงแต่ส่งยิ้มให้ก็ตาม" ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

First Important Lesson - Cleaning Lady
During my second month of college, our professor gave us a pop quiz. I was a conscientious student and had breezed through the questions, until I read the last one: "What is the first name of the woman who cleans the school?" Surely this was some kind of joke. I had seen the cleaning woman several times. She was tall, dark-haired and in her 50s, but how would I know her name? I handed in my paper, leaving the last question blank. Just before class ended, one student asked if the last question would count toward our quiz grade. "Absolutely," said the professor. "In your careers, you will meet many people. All are significant. They deserve your attention and care, even if all you do is smile and say hello." I've never forgotten that lesson. I also learned her name was Dorothy.

บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน
คืนหนึ่ง เวลาประมาณ 23:30 น. หญิงชราชาวอเมริกันผิวดำคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สาย อลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชกไปทั้งตัว เธอก็ตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มอเมริกันผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างรุนแรงในทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็กล่าวขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้ โดยมีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขาเพื่อนำโทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งมาส่งที่บ้านของเขา พร้อมกับมีกระดาษเขียนข้อความแนบมาด้วยว่า: "ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น มันได้ชะล้างเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันได้ดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ก่อนเวลาที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
ด้วยความจริงใจ
นาง แนท คิง โคล

Second Important Lesson - Pickup in the Rain
One night, at 11.30 p.m., an older African American woman was standing on the side of an Alabama highway trying to endure a lashing rainstorm. Her car had broken down and she desperately needed a ride. Soaking wet, she decided to flag down the next car. A young white man stopped to help her, generally unheard of in those conflict-filled 1960s. The man took her to safety, helped her get assistance and put her into a taxicab. She seemed to be in a big hurry, but wrote down his address and thanked him. Seven days went by and a knock came on the man's door. To his surprise, a giant console color TV was delivered to his home. A special note was attached. It read:
Thank you so much for assisting me on the highway the other night. The rain drenched not only my clothes, but also my spirits. Then you came along. Because of you, I was able to make it to my dying husband's bedside just before he passed away. God blesses you for helping me and unselfishly serving others.
Sincerely,
Mrs. Nat King Cole

บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ
ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ""ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเหรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่" เด็กชายถามอีก ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าที่หนึ่งครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอาไอศครีมมาให้ พร้อมกับวางใบเสร็จแล้วก็เดินหนีไป เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้วก็จ่ายเงินจากนั้นก็ลุกเดินจากไป เมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา น้ำตาของเธอก็เริ่มเอ่อล้นออกมา เมื่อเธอลงมือทำความสะอาดโต๊ะ บนโต๊ะนั้น มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น เธอได้รับบทเรียนว่า เด็กชายคนนั้นยอมที่จะไม่ทานไอศครีมซันเดทั้งที่มีเงินพอ แต่เค้าเลือกทานไอศครีมราคาถูกกว่า เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ให้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

Third Important Lesson - Always Remember Those Who Serve
In the days when an ice cream sundae cost much less, a 10-year-old boy entered a hotel coffee shop and sat at a table. A waitress put a glass of water in front of him. "How much is an ice cream sundae?" he asked. "Fifty cents," replied the waitress. The little boy pulled his hand out of his pocket and studied the coins in it. "Well how much is a plain dish of ice cream?" he inquired. By now more people were waiting for a table and the waitress was growing impatient. "Thirty-five cents," she brusquely replied. The little boy again counted his coins. "I'll have the plain ice cream," he said. The waitress brought the ice cream, put the bill on the table and walked away.
The boy finished the ice cream, paid the cashier and left. When the waitress came back, she began to cry as she wiped down the table. There, placed neatly beside the empty dish, were two nickels and five pennies. You see, he couldn't have the sundae because he had to have enough left to leave her a tip.

บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา
ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่ เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป พวกเขาได้กล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานาว่าพระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า "ทองในถุงนี้ เป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน" ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ว่า "ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่ราจะดีขึ้นให้กับเรา"

Fourth Important Lesson - The Obstacle in Our Path
In ancient times, a King had a boulder placed on a roadway. Then he hid himself and watched to see if anyone would remove the huge rock. Some of the king's wealthiest merchants and courtiers came by and simply walked around it. Many loudly blamed the King for not keeping the roads clear, but none did anything about getting the stone out of the way.
Then a peasant came along carrying a load of vegetables. Upon approaching the boulder, the peasant laid down his burden and tried to move the stone to the side of the road. After much pushing and straining, he finally succeeded. After the peasant picked up his load of vegetables, he noticed a purse lying in the road where the boulder had been. The purse contained many gold coins and a note from the King indicating that the gold was for the person who removed the boulder from the roadway. The peasant learned what many of us never understand. Every obstacle presents an opportunity to improve our condition.

บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า
หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหารย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายถึงสถานการณ์นี้ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า "เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่" ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า "ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้" เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่บนเตียงเคียงข้างกับเตียงของพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ "ผมกำลังจะตายใช่ไหม" ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

Fifth Important Lesson - Giving when it counts
Many years ago, when I worked as a volunteer at a hospital, I got to know a little girl named Liz who was suffering from a rare and serious disease. Her only chance of recovery appeared to be a blood transfusion from her 5-year old brother, who had miraculously survived the same disease and had developed the antibodies, needed to combat the illness. The doctor explained the situation to her little brother and asked the little boy if he would be willing to give his blood to his sister. I saw him hesitate for only a moment before taking a deep breath and saying, "Yes, I'll do it if it will save her." As the transfusion progressed, he lay in bed next to his sister and smiled, as we all did, seeing the color returning to her cheek. Then his face grew pale and his smile faded. He looked up at the doctor and asked with a trembling voice, "Will I Start to die right away?" Being young, the little boy had misunderstood the doctor; he thought he was going to have to give his sister all of his blood in order to save her. Yet he was willing.

จดจำไว้ว่า " ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่"

Remember, "Work like you don't need the money, love like you've never been hurt, and dance like you do when nobody's watching."

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใดๆในการช่วยเหลือผู้อื่น หรืออาจจะไม่มีใครรู้ ใครเห็นด้วยซ้ำ แต่ความสุขจากการให้ นั้นคือรางวัลที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าถ้วยรางวัลเกียรติยศเสียอีก เพราะมันจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป... และความสุขไม่สามารถแตกสลายได้เหมือนถ้วยรางวัลใดๆ

We may not be presented any honour reward to help others, or there is nobody even knows about it. But the happiness you have from giving to others is the best reward. It is Better then any honour trophy. Because it will be in your memories forever ... and happiness can not be disintegrate like honour trophy.

Wednesday, July 15, 2009

วันพุธนี้ไม่มีสมาคม!!!

ท่านประธานสมาคมคนวันพุธประกาศหยุดชุมนุมหนึ่งวัน วันพุธนี้ไม่มีสมาคม ผู้สังเกตุการณ์และผู้ติดตามเหตุการณ์ หลายคนพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามหาสาเหตุ ของการประกาศหยุดกิจกรรมในคืนวันพุธ ที่ 15 กรกฎาคม 2009 หลายคนพยายามโยนก้อนหินถามทาง โดยคาดเดาว่าอาจจะมีการปิดสมาคมไปเลยหรือไง ยังไง ไฉน สมาชิกถาวรของเราพยายามเหมือนกันที่จะหลีกเลี่ยงคำถามที่ถาโถมเข้ามากวนใจ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังซึ่งหน้า กับคำถามที่ไม่เร้าใจเหล่านั้น เราไม่ได้ปกปิดความจริงอะไร กับเพียงเหตุเพราะว่าสมาชิกหลายคนติดภาระกิจเดินทางออกนอกเมืองโตรอนโตของเรา ไปเที่ยวพักผ่อนธรรมดานั่นแหละ แต่การตอบคำถามง่ายๆ ตรงๆ แบบนั้นมันไม่เรียกว่ามีความคิดสร้างสรรค์ เป็นการตอบคำถามแบบไร้จินตนาการ ไม่ใช่วิถีของสมาชิกชมรมคนวันพุธ การตอบคำถามจะต้องมีความน่าสนใจ น่าติดตาม และสร้างความยุ่งยากใจให้กับผู้อยากรู้อยากเห็นเหล่านั้น มันน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ
เขียนมาถึงตอนนี้ เลยนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้บอกแต่แรกว่า "สมาคมคนวันพุธ" เป็นอะไร? มาจากไหน? ใคร? อะไร? ยังไงกัน? ไหนๆ ก็เขียนให้งง กันเรียบร้อยไปแล้วก็ต้องอธิบายกันหน่อย แต่รับรองว่าเรื่องยาวแน่นอน
พวกเราเป็นคนไทยในต่างแดนครับ เกาะกลุ่มเพื่อนพึ่งพาอาศัยกันใน เมือง Toronto ประเทศ Canada มาเป็นเวลานานหลายปี นานแค่ไหน? อย่างท่านประธานสมาคม ท่านวีระ นี่อยู่มา 25 ปีแล้ว ท่านผู้อำนวยการสมาคม ท่านธงชัย อยู่มา 25 ปี ประธานที่ปรึกษาสมาคม ตัวข้าพเจ้าเอง ท่านเบิร์ด อยู่มา 22 ปี ท่านนายกสมาคม ท่านเซียะ อยู่มา 9 ปี ที่เหลือเป็นสมาชิกระดับท่านรองประธานสมาคมกับท่านรองนายกสมาคมก็อยู่เกาะกลุ่มกันมาหลายปีแล้ว สมาคมของเราไม่มีสมาชิกธรรมดา มีแต่สมาชิกระดับสูงระดับผู้บริหารอย่างเดียว ไม่มีสมาชิกระดับต่ำต้อย เพราะว่าเราต่างแต่งตั้งตัวเองกันขึ้นมา ที่กล่าวถึงทั้งหมดเป็นสมาชิกถาวร ส่วนสมาชิกขาจรก็มีเข้ามาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ แต่การตั้งวงกินเหล้าคืนวันพุธถือว่าเป็นอะไรที่แปลกและท้าทาย ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้ากินกันจนสว่างคาตาแล้วรุ่งเช้าจะมีสภาพเช่นไรตอนที่เข้ามาทำงาน คงต้องยกตัวอย่างตัวเองเพราะต้องทำงานกะเช้าพร้อมกับท่านธงชัยและท่านเซียะ เข้ามาเปิดร้านตอน 11 โมงเช้าแต่เพิ่งแยกกันเมื่อตอน 7 โมงเช้านี่เอง ไม่อยากสบตาก็แล้วกัน แต่ถึงยังไงเราก็ลากยาวไปจนหมดวันทำงานก็แล้วกัน ทำงานเดินตัวลอยไปเลย คอยประคองตัวให้ชิพทำงานไป

เรื่องราวในวงเหล้าเป็นแรงดึงดูดให้พวกเราเกาะกลุ่มกัน เป็นสาเหตุต้นๆ ของการเกิดสมาคมคนชอบเมาวันพุธ พวกเราจะคุยเอาฮากันเป็นหลัก นอกจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ประจำวัน ข่าวประจำวัน เรื่องน่าพูดถึงและไม่น่าพูดถึงต่างๆ ผสมผสานกันให้สนุกจนลืมเวลา พอหันหน้าไปมองหน้าร้านฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว พวกเราก็แตกวงไปบ้านใครบ้านมันแยกย้ายกันไป พอใกล้ถึงวันพุธอาทิตย์ต่อมาเราก็ค้นหาเมนูเด็ด กับแกล้มอะไรที่แปลกๆ ยากๆ อะไรที่เราอยากกินกันมานาน และก็จะวางแผนขวนขวายค้นหา จัดซื้อมาทำกินกันในคือวันพุธ วันประชุมสมาคม ความที่เรากินเหล้าทุกคือวันพุธติดต่อกันมานาน ทุกคนในร้านจึงเกิดอาการแปลกใจเมื่อมีการประกาศหยุดกินเหล้าวันพุธนี้ หลายไถ่ถามด้วยความห่วงใยว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นเรื่องที่ต้องทำใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหยุดประชุมกันนัดนี้ แต่การขาดสมาชิกหลักไปเกือบหมดจะทำให้การกินเหล้าไม่ออกรส งานจะกร่อยไปซะเปล่าๆ การหาเพื่อนที่คุยถูกคอกันจริงๆ นั้นหายาก คนที่ชง คนที่ตบ คนที่ซ้ำ จะต้องรู้แนวกันอย่างดีไม่งั้นไม่ฮา ขอรับประกันว่าวงของเรามีเรื่องฮามากกว่าตลกอาชีพบางคณะซะอีก หรือว่าจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องนี้...

"จอมขมังเวทย์"

ศักดากับผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมเป็นลูกผู้พี่ ศักดาเป็นลูกผู้น้องคือเป็นลุกของน้าสาวผม เราเกิดปีเดียวกันแต่ศักดาแก่เดือนกว่าผม 5 เดือน เราโตมาด้วยกันมีนิสัยคล้ายกันหลายอย่างและแตกต่างกันหลายอย่าง อย่างเช่นเรารักเรื่องกาพย์ กลอน เหมือนกัน เดินตามรอยสุนทรภู่ติดๆ มาด้วยกันจนเราสองคนเกือบจะได้เป็นนักกลอนมือหนึ่งของเมืองไทยถ้า..ถ้าศักดาไม่พาผมเลี้ยวเข้าวงกัญชาก่อน ใช่ครับดูดกัญชา เรื่องที่ศักดาแตกต่างจากผมอีกเรื่องหนึ่งคือ ศักดารักความเมาทั้งเหล้าและกัญชา ในสมัยเป็นหนุ่มรุ่นๆ ด้วยก้น
ผมกินเหล้าอยางเดียว กัญชาได้เหมือนกันแต่ไม่ชอบ เพราะดูดกัญชาแล้วกลายเป็นคนขึ้ระแวงกลัวสิ่งรอบข้างไปหมด เคยกลัวจิ้งจกกระโดดกันคอ ไร้สาระขนาดนี้เลยขอกินเหล้าอย่างเดียวดีกว่า

ผมชอบเล่นดนตรี รักในเสียงเพลง ศักดารักในเสียงเพลงเหมือนกันแต่ไม่เล่นดนตรี ผมเรียนแผนกศิลปะ เพราะชอบวาดรูป ศักดาชอบงานศิลป์เหมือนกัน เก่งงานปั้น แต่ชอบสะสมพระ การก้าวเข้าไปเป็นนักเลงพระเครื่องทำให้ศักดาก้าวลึกเข้าไปสู่มนต์ดำ ศักดากับผมบวชเรียนมาเหมือนกัน ผมสนใจอ่านพระไตรปิฏกเกือบหมดตู้ แต่ศักดาชอบเรียนรู้คาถาอาคม จำบทคาถาต่างๆ แม่นยำและทำเป็นวัตรปฎิบัติ เช้าตื่นขึ้นมามีคาถาเบิกเนตร ก่อนออกจากบ้านมีคาถาเสกแป้งผัดหน้า มีคาถาหลายบทที่ต้องท่องบ่น อย่างเข่น คาถามหาระรวย ให้ใครเห็นงงงวยนึกรักนึกของ คาถาสาลิกาลิ้นทอง พูดจาปราศรัยใครๆ ก็ชอบ ถ้านัดไปเที่ยวกันพวกเราต้องให้เวลาศักดาเสกคาถาจนครบเราถึงจะไปกันได้ เคยมีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักศักดายืนมองศักดาเสกคาถา แล้วอยู่ๆ ตกใจร้องชี้ให้ดูกลุ่มควันที่เกิดขึ้นรอบตัวศักดา ผมต้องอธิบายว่า มึงไม่ต้องตกใจไปหรอกมันเสกแป้ง พอเสร็จพิธีมันจะตบแป้งที่มือสองข้างก่อนจะทำพิธีผัดหน้า ไม่อย่างนั้นหน้ามันจะขาววอกเกินไป ไอ้ที่ฝุ้งอยู่นั้นมันแป้งไม่ใช่ควันไฟ

นอกจากพระเครืองรุ่นต่างๆ ที่ศักดาสะสม ยังมีเครื่องรางของขลังทุกชนิด ผ้ายันต์ ตระกรุด ลูกอม สายสินญ์ มีดหมอ ปลัดขิก




The president of Wednesday Night’s Association announced a day off. There is no meeting on Wednesday. Many of other people such as the note-tracking and event tried to skirt our members to inquiring the cause of the stop event on Wednesday night in the 15 July, 2009, many tried to get an answer by questions just like throw a stone to seek the way out. They are guessing that the Association may be close or Why? Why? Why? Our permanent members tried to avoid that kind of questions which may cause some problems distract.
That was not interesting questions. We do not hide the truth? The only reason is because several members just leaved Toronto to get a break on a weekend. But honestly answer a simple question, it is not called creativity. Question-answer is no imagination. That is not the way of people of Wednesday Night’s Association. Our answer must be interesting and observable troublemaker to be curious to them. That would be more fun.

Sunday, July 5, 2009

ยำสามกรอบ เป็นไฉน???


ระหว่างการประชุมคืนหนึ่งของเหล่าสมาชิกขมรมคนชอบเมาวันพุธ Wenesday Night's Clab ของมึนเมาและกลับแกล้มพร่องไปมากแล้ว เวลาก็ล่วงเลยผ่านตี 2 ไปนานแล้ว คุณเซี๊ยะ (CIA) ก้มหน้ามองซากยำปลาหมึกกรอบ ที่เหลือแต่ผักเครื่องยำเกาะติดบนผักรองจานอยู่นิดหน่อย แล้วเปรยขึ้นว่า "ผมนึกถึงยำสามกรอบ ตอนอยู่เมืองไทยเคยสั่งกินประจำ" หลังจากเห็นสีหน้าฉงนของเหล่าสมาชิกแล้ว คุณ CIA จึงพรรณนาเย้ายวนยั่วน้ำลายถึงยำสามกรอบ อันมี องค์ประกอบด้วย กระเพาะปลา ปลาหมึกทอดกรอบ เม็ดมะม่วงหิมพาน จนกระทั้งสมาชิกทุกคนมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ว่า เราจะต้องกิน "ยำสามกรอบ" กันในคืนวันพุธหน้า คงไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าคนที่ต้องจัดทำ"ยำสามกรอบ"ให้มวลมหาสมาชิกได้ลองลิ้มชิมรสกันคือใคร ในฐานะเป็น Chef ประจำวงเหล้าก็รับปากกับสมาชิกว่าเราจะได้กินกันอาทิตย์หน้า แต่ว่าปํญหาคือไอ้"ยำสามกรอบ"มันเป็นยังไงกัน????
ต้องขอกระซิบบอกล่ะครับว่า ไม่รู้จัก โถ...จะให้คนอยู่ห่างประเทศไทยมา 20 ปี รู้จักอาหารใหม่ๆ ของพวกขี้เมาไทยได้อย่างไร แต่เพื่อเป็นการรักษาหน้าตาไม่ฉีกขาด ในฐานะที่เป็น Chef ใหญ่ เลยต้องทำเนียนรับจัดให้ไปก่อน เมื่อรับงานเข้ามาแล้วก็ต้องมาสืนค้นคว้าหาสูตรอาหารให้ได้ก่อน ปรากฎว่าได้สูตร"ยำสามกรอบ"มาหลายสูตรให้ทดลองทำ ความคล้ายคลึงกันก็เป็นตัวสามกรอบ ที่ต้องมี กระเพาะปลา ปลาหมึกทอดกรอบ เม็ดมะม่วงหิมพาน เป็นหลักแต่บางสูตรเพิ่ม เนื้อไก่หรือเนื้อหมูทอดกรอบ กุ้งทอกกรอบ หรือใส้กรอกลงไปด้วย สำหรับน้ำยำหรือการปรุงรสคือน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลใช้แตกต่างกันไปอาจเป็นน้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทรายแล้วแต่ชอบ จะใช้พริกสดหรือพริกป่นก็ได้ บางสูตรใส่น้ำพริกเผา บางสูตรโรยหน้าด้วยหอมเจียว ก็บอกสูตรต่างๆ ไว้เป็นวงกว้างก่อนเพราะอาหารไทยเราสามารถพัฒนาให้เป็นแนว fusion ได้ไม่ยาก รสชาติหลักต้องเป็นแบบไทยๆ เรา แต่รูปแบบการจัดวาง การเสิร์ฟ ก็สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ประกอบลงไป ถ้ารูปแบบออกมาสวยงาม และได้รสชาดสุดแสนอร่อย ลูกค้าติดอกติดใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม คนอีสานพูดว่า "ของแซบอยู่ที่ผู้มัก" หมายความว่าอาหารอร่อยอยู่ที่คนชอบ ดังนั้นบางทีอาหารที่เราทำออกมาได้รสชาดโดนใจของเราสุดๆ แต่กลับมีหลายคนไม่ถูกใจ บ้างก็ว่าอ่อนหวานไปหน่อยเพราะเป็นพวกติดหวาน บ้างก็ว่าต้องเปรี้ยวอีกหน่อยพวกนี้อะไรก็ต้องเปรี้ยวนำ แต่อย่างไรก็ตามไม่ต้องไปกังวล ถ้าเรามั่นใจก็ทำให้ได้รสที่เราต้องการแล้วนำเสนอไปอย่างนั้น ลิ้นมนุษย์เปลี่ยนแปลงเรื่องรสชาติได้ เหมือนกับความพึงใจของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ อย่างไรด็ตาม ถ้าเราจักรูปอาหารได้สวยงามแปลกตาหรือออกแบบออกมาให้ได้รูปแบบใหม่ ความสวยงามของอาหารในจามสามารถเปลี่ยนใจมนุษย์ได้ บางทีอาหารที่ลูกค้าบางคนไม่ชอบในรสชาด แต่พอจับมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ กลับชมชอบว่าอร่อยถูกใจ เอาล่ะเรามาเริ่มทำ"ยำสามกรอบ" กันเลยดีกว่า


"ยำสามกรอบ"
วิธีทำยำสามกรอบ ขั้นแรกชวนสมาชิกให้ตั้งวงเหล้ารอไปก่อน ชงเหล้าเสิร์ฟให้ครบทุกคน บอกให้สมาชิกทำใจให้สบาย พยายามอธิบายว่ากับแกล้มที่เรากำลังจะลงมือทำนั้นกินได้แน่นอน มีรสชาดอร่อย เป็นที่นิยมชม่ชอบกันเป็นอย่างสูง (ต้องสร้างจิดวิทยาด้านข้อมูล ให้สมาชิกได้รับทราบไว้เป็นพื้นฐานในใจก่อน และต่อไปพอสมาชิกเริ่มเมา อาหารจะอร่อยหมดทุกอย่างจากฐานข้อมูลนั้น)
1. เตรียมหั่นปลาหมึกแห้งวง, ไส้กรอก, กระเพาะปลา, กุ้งสด, กระเพาปลาหั่น 3 ส่วน
2. ทอดเม็ดมะม่วงก่อน
3. เอากุ้งสดเคล้าแป้งลงทอด ใกล้จะสุกเอาไส้กรอกลงทอดตาม
4. เอาปลาหมึกแห้งลงไฟแรง แป๊ปเดียวให้เอาขึ้นได้เลย (ถ้าจำเป็นต้องให้ปลาหมึกสด ให้เคล้าเกลือหรือน้ำปลานิดหน่อยแล้วลงทอดไปแรงจนกรอบแห้ง)
5. กระเพาปลาทอดด้วยไฟแรง เอาตระแกรงกดให้จมในน้ำมัน
6. ซอยหอมแดง หอมใหญ่ให้บางๆ และซอยพริกขี้หนูเฉียงๆ สำหรับหอมแดงทอดให้กรอบแล้วผึ่งเอาได้
7. เอาชามสำหรับยำมาผสมเครื่องปรุงรสให้เข้ากันให้ดีก่อน โดยใช้ พริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ½ ช้อนโต๊ะ , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ. (ประมาณน้ำมะนาวจะเท่าน้ำปลาเสมอ) คนให้เข้ากัน
8. เอากุ้งทอด และไส้กรอกลงก่อน ตามด้วยปลาหมึก แล้วคนให้เข้ากัน ใส่หอมซอยลงไป
9. เอากระเพาปลาใส่แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งวางไว้บนจานที่จะเตรียมเสริฟ์ (ค่อยๆ เคล้ากันอย่าบีบแรงเดี๋ยวกระเพาปลาจะไม่กรอบ)
10. บรรจงวางเครื่องยำลงบนจาน โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วง หอมแดงทอดและผักชี
11. จัดผักแนม เช่นแตงกวา มะเขือเทศ ต้นหอมแช่น้ำให้กรอบ หรือพริกขี้หนูสดหรือพริกแห้งทอดสำหรับพวกซาดิสซ์
12. กระดกเหล้าเบียร์เข้าปากเต็มๆ คำ แล้วตามด้วยยำสามกรอบ และพยายามทำหน้าให้อร่อย
เอาลงบนจาน โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วง และผักชี