Thursday, March 25, 2010

Being a Chef de Cuisine
























































Sunday, March 7, 2010

FARMER BOY

ทุกครั้งที่ถูกถามว่า ผมเป็นคนที่ไหน ผมจะตอบด้วยความภูมิใจว่าผมเป็นคน "ธนบุรี" ความเป็นคน ธนบุรี ของผมมันหมายรวมถึงความเป็นคนจังหวัดธนบุรี เป็นคนบ้านสวนริมคลองบางกอกน้อยที่เดิมคือแม่น้ำเจ้าพระยา ผมเคยปฏิเสธเล่นๆ ว่าผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯ หรือบอกว่าความจริงไม่ได้ตั้งใจเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะว่าอยู่ๆ ทางการก็รวมจังหวัดธนบุรีของผมไปรวมกับจังหวัดพระนคร โดยเรียกชื่อรวมกันว่า จังหวัดพระนครกรุงเทพ-ธนบุรี นัยว่าเป็นการสกดผู้ที่มีความคิดต่อต้านการรวมกันครั้งนี้ โดยไม่กล้าเรียกกรุงเทพมหานครเฉยๆ ผมคนหนึ่งที่มีความคิดต่อต้านในเรื่องนี้ เพราะผมมีความภูมิใจในการเป็นคนจังหวัดธนบุรี การรวมกันนี้จะทำให้เมืองหลวงเก่าของประเทศไทยที่มีอยู่สามเมือง (กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี)หายไปหนึ่งเมืองทันที คือกรุงธนบุรี พวกเรารู้ว่าเป็นการทำลายประวัติศาสตร์ พยายามกลบเกลื่อนประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของประเทศไทย แม้การเขียนถึงกรุงธนบุรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็จะเขียนบันทึกไว้ให้อ่านไม่กี่บรรทัด บอกเพียงแต่ว่ากรุงธนบุรีเคยเป็นเมืองหลวงของแผ่นดินสยามมา 15 ปีเท่านั้นไม่มีลายละเอียด ทั้งที่เป็นศูนย์บัญชาการการกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยจากพม่า แม้แต่พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ก็ถูกบิดเบือนและพยายามไม่กล่าวถึง เพราะรู้ว่าคนธนบุรีจำนวนมากยังคงจงรักภัคดีต่อพระมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของเขา ความเป็นคนกรุงเทพฯ ทำลายความรู้สิกความเป็นคนธนบุรีของผมไม่ได้ และผมก็ไม่เคยยอมรับโดยดุษฏีว่าผมเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะผมมีความภูมิในความเป็นชาวบ้านสวนธนบุรีของผมมากกว่า


ผมเกิดโตเป็นชาวสวนบางขุนนนท์ ริมคลองบางกอกน้อย สมัยเด็กๆ เล่นน้ำดำผุดดำว่าย ข้ามคลองไปมา เกาะเรือพ่วงไปปากคลอง (แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณชุมทางรถไฟธนบุรี โรงพยาบาลศิริราช) ลึกไปถึงแยกคลองชักพระ เล่นน้ำกันทั้งวันจนตัวดำเป็นเหนี่ยงปากเป็นคราบหนวด(ภาษาคนฝั้งธน) จับปลาหาปลาริมคลองยามน้ำลด พอน้ำเหนือหลากมาเป็นน้ำขุ่นสีแดง พวกปลากุ้งในคลองบางกอกน้อยจะเมาน้ำลอยขี้นมาให้พวกเราได้จับเอง อย่างกุ้งแม่น้ำตัวโตจะมาลอยหนวดเกาะริมเขื่อนให้พวกเราจับโยนขี้นบกกันสนุกสนาน พวกบนตลิ่งก็ก่อไฟเตรียมเผากุ้งกันได้เลย


ใครที่ไม่เคยเห็นน้ำเหนือเป็นอย่างไรคงต้องบรรยายให้ฟังกันสักนิด ในช่วงฤดูฝนของทุกปีเมื่อประมาณ 30 กว่าก่อน จะตรงกับช่วงฤดูฝน เราคงรู้กันอยู่แล้วว่าแม่น้าเจ้าพระยานั้นเกิดจากการใหลมารวมตัวกนของแม่น้ำ 4 สายจากตอนเหนือของประเทศไทยเราคือ ปิง วัง ยม น่าน ในช่วงฤดูฝนแม่น้ำทั้ง 4 สายจะอุ้มน้ำฝนมากมายมหาศาลไหลถ่ายเทลงมาที่แม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากน้ำฝนแล้วสายน้ำยังกวาดเอาดินโคลนจากภาคเหนือลงมาด้วย แม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นสีแดงข้น ระดับน้ำจะสูงจนน่ำกลัวและสายน้ำจะไหลเชี่ยวมาก สายน้ำเหนือสีแดงขุ่นที่ไหลซอกซอนไปตามลุ่มน้ำต่างๆ ในภาคกลางผสมกับน้ำใสในลำคลองที่เราใช้อาบใช้กินใช้ทำไร่สวนกันอยู่ จะทำให้หมู่กุ้งปลาในลำน้ำหายใจกันลำบากเพราะความขุ่นข้นของน้ำเหนือ ที่ทำให้ระดังอ๊อกซิเจนในน้ำเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พวกกุ้งปลาเหล่านั้นพากันลอยคอขี้นมาหายใจแบบเชื่องๆ ให้พวกเราได้จับกินกันอย่างง่ายดาย



ชีวิตที่มีความผูกพันกับสายน้ำอย่างพวกเราวันๆ หนึ่งก็หนีน้ำไปไม่พ้น ยิ่งฤดูน้ำหลากเชี่ยวยิ่งมีแรงดึงดูดท้าทายให้เด็กๆ อย่างพวกเราได้ลงไปลอยคอโต้กระแสน้ำกันทุกวัน เรือพ่วง เรือหาง เรือแท๊กซี่ ยามวิ่งทวนน้ำเชี่ยวอย่างช้าๆ มันจะชวนให้พวกเราว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะเรือเล่นไปไกลๆ แล้วปล่อยตัวลอยตามน้ำกลับมาอย่างสนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วเจ้าของเรือเหล่านั้นไม่ได้สนุกไปกับพวกเราด้วย เพราะมันเป็นเรื่องอันตรายอย่างสุดๆ ทั้งพวกเราและพวกเรือรู้กันดีว่าหากพวกเราพลาด มันหมายถืงอันตรายที่อาจคร่าชีวิตเราได้ และพวกเราก็ได้เห็นตัวอย่างบทเรียนกัน ไม่ว่าจะโดนน้ำดูดไปใต้เรือแทบเอาชีวิตไม่รอด บ้างก็โดนใบพัดบาดเอาสาหัส และที่จมหายไปกลายเป็นศพลอยน้ำก็มีให้เห็นอยู่ไม่ขาด แต่พวกเราก็ไมกลัวกัน วันไหนมี่ศพลอยน้ำทำขื้นที่ท่าวัด พวกเราจะหยุดเล่นน้ำกันไปซักอาทิตย์พอให้หายแหยง แล้วก็ลงมาลอยคอก้นใหม่ไม่ช้านาน พวกชาวเรือก็ขยาดพวกเราเหมือนกันทั้งด่าทอห้ามปรามกันอย่างไรก็หยุดพวกเราไม่ได้ บางรายก็เอารวดหนามมาพันสะขอบเรือเอาไว้กันพวกเราเกาะเรือ ทำให้พวกเรามือแหกไปตามๆ กัน



คลองบางกอกน้อยในสมัยเด็กๆ ความรู้สึกที่ผมเห็นมันกว้างให่ญ่มากแถมกระแสน้ำก็เชี่ยว ไม่สามารถว่ายน้ำข้ามคลองตัดไปตรงๆ ได้ ต้องกะจังหวะให้ดีเพราะจะถูกน้ำพัดเฉียงห่างออกไปมาก การว่ายน้ำข้ามคลองไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องแข็งแรง ต้องกะจังหวะเรื่อให้ดีเพราะคลองบางกอกน้อยมีเรื่อวิ่งชุกชุม โดยเฉพาะเรื่อหางยาวที่วิงเร็วมาก และหางเรืออันตรายสุดๆ ถ้าจะว่ายน้ำข้ามคลองต้องดูให้ดีและต้องกะจุดหมายไว้ด้วย ใครที่ว่ายน้ำข้ามคลองบางกอกน้อยไปกลับได้ถือว่าจบหลักสูตรการว่ายน้ำมาตรฐานของพวกเรา อย่าลืมว่าการว่ายน้าข้ามคลองเป้นการวัดจิตใจกันด้วย หากใครต้องการพิสูจน์ใจตัวเองลองว่ายน้ำไปกลางคลองน้ำเชี่ยวมองฝั่งหมายยังอยู่อีกไกล เรือหางก็วิ่งอย่างรวดเร็วเสียงเครื่องตวาดลั่นคลอง น้ำก็แรงดึงตัวเราจนต้านแทบไม่อยู่ แล้วยังต้องว่ายน้ำตัดไปอีกฝั่งให้ได้ถึงจุดหมาย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย



น้ำผูกพันกับชาวบ้านชาวสวนอย่างพวกเราตลอดชีวิต ฝั้งธนบุรีเป็นฝั่งบ้านสวน มองไปทางไหนมีแต่ต้นไม่ใบหญ้าป่าชัฎ ถนนหนทางมีน้อยพวกเราให้เรือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต บ้านสวนจะหันหน้าเข้าหาคลอง จากคลองใหญ่ๆ อย่างคลองบางกอกน้อยจะมีคลองเล็กแยกซอกซอนไปตามเรือกสวนไร่นาต่างๆ คดเคี้ยววกวนไปมา เป็นเสมือนสายโลหิตใหญ่น้อยหล่อเลี้ยงชีวิตพืชไร่ คนและสัตว์อย่างอุดมสมบูรณ์ ชาวสวนอย่างพวกเราแทบไม่ต้องไปจ่ายตลาด อาหารอร่อยมื้อหนึ่งอาจทำได้โดยเพียงเดินวนรอบบ้านครั้งเดียว ปลากุ้งอยู่ในคลองหน้าบ้าน ปลาดุก ปลาช่อน ปลากก้าง ปลาหมอ กุ้งแม่น้ำ ตะพาบน้ำ ปลาหลด ปลาไหล ปลาตะเพียน ปลากา ปลาซิวปลาสร้อย หอยโข่ง หอยขม กบ ตะกวด เราจับมากินกันง่ายๆ เดินวนไปสวนคร้วหลังบ้าน พริงขี้หนู ในกระเพราะ ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า มะพร้าว ต้นหอม ผักชี ลงน้ำไปหน่อย ผังบุ้ง ผักกระเฉด สายบัว บอน ผักหนามจับมาดองจิ้มน้ำพริก ชะอม กระถิน ตำลึง ดอกแคล้อมเป็นรั้วบ้าน วันไหนโชคดีเดินสวนหาหน่อไม่ ไปเจอเห็ดโคนเข้า นอกจากเอามาทำกินอร่อยแล้วยังเอาไปขายได้เงินอีก ใต้ถุนบ้านมีไก่เลี้ยงกินไข่ และเผื่อเอามาเชือดเป็นอาหารจัดเลี้ยง บางบ้านก็เลี้ยงเป็นริมคลองเอาไว้กินไข่กินเนื้อ ชีวิตเรียบง่ายอย่างพวกเรา เดินรอบบ้านหนึ่งรอบก็มีกับข้าวอร่อยๆ กินทุกมื้อ





























































คนบ้านสวน












Tuesday, March 2, 2010

WINTER IN TORONTO

หลังจากการเดินทางผ่านฤดูหนาวในทวีปอเมริกาเหนือมาถึง 20 ฤดูแล้ว ทำให้ภาพวิจิตรสวยงามของฤดูแห่งความหนาวเย็นในแคนาดา ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกตาอีกต่อไป แต่บางครั้งก็ออกอาการเบื่อและก็อึดอัดกับการแต่งกายด้วยเสื่อผ้าหนาๆ หลายชั้นเพื่อต่อสู้กับความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ และกับการเดินทางที่แสนลำบากยากเย็น โดยเฉพาะต้องขับรถไปบนถนนที่ปกคลุมได้ด้วยน้ำแข็งเต็มไปด้วยอันตราย หรือแม้จะเดินเท้าก็อาจลื่นหกล้มเจ็บตัวได้
ในปีแรกที่มาอยู่ในเมืองโตรอนโต ทุกสิ่งทุกอย่างมันแปลกตาไปหมด โดยเฉพาะฤดูกาลทั้ง 4 ของอเมริกาเหนือ ที่สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ตื่นตาตื่นใจกัน เคยคิดจะบันทึกออกมาเป็นเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง แต่ตั้งแต่ครั้งนั้นจนบัตนี้ก็ยังไม่ได้ลงมือเขียนเรื่องเหล่านั้นออกมา
(ลานสเก๊ตท์น้ำแข็งสำหรับประชาชน หน้าที่ทำการนครโตรอนโตซี่งในฤดูร้อนจะเป็นสระน้ำพุ พอฤดูหนาวน้ำในสระจะกลายเป็นน้ำแข็ง ทางการจะไถให้เรียบทำเป็นลานเล่นสเก๊ตท์สำหรับชาวโตรอนโต)

จะเป็นด้วยปัญหาโลกร้อนหรืออะไรก็แล้วแต่ ฤดูหนาวในแคนาดาเริ่มเปลี่ยนไป ที่โตรอนโตหิมะตกน้อยลง อากาศก็ไม่ได้เยือกเย็นยาวนานเหมือนเคย ในปีนี้ยิ่งน้อยกว่าปกติแต่พายุกลับหอบหิมะน้ำแข็งลงใต้ข้ามไปตกหนักในอเมริกาท่วมเมืองนิวยอร์คและวอชิงตันดีซี ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าฤดูหนาวจะหดหายไปจากแคนาดาเลยต้องเขียนบันทึกทั้งเรื่องราวและภาพถ่ายของโตรอนโตเอาไว้ในที่นี้ เมือ่งโตรอนโตโดยปกติจะหนาวเย็นน้อยที่สุดในแคนาดาฝั่งตะวันออก (ฝั่งตะวันตกว่ากันว่าแวนคูเวอร์อากาศดีที่สุด) เพราะอยู่ทางใต้สุดของประเทศเป็นเขตติดต่อกับรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะพูดว่าหนาวเย็นน้อยที่สุดแต่ก็เย็นติดลบ 20 องศาเซลเซียส หากมีกระแสลมจะติดลบถึง 40 องศา เหมือนกัน (ติดลบนะครับ ลองเปรียบเทียบกับอุณหภูมิในช่องแข็งตุ้เย็นที่บ้านก็จะติดลบประมาณ 4 องศา หนาวขนาดไหนคิดดูเอาเองก็แล้วกัน) เราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับเมือ่งต่างๆ ทางตอนเหนือ มอนทรีโอ, ควิเบค ที่หนาวเย็นสุดๆ หรือเอาที่เหนือจากเมือ่งเหล่านี้ขึ้นไปอีกจนสุดเขตที่ขั้วโลกเหนือก็จะหนาวตลอดปี พื้นที่ประเทศแคนาดาเกินกว่าครึ่งหนึ่งถูกแช่อยู่ใต้น้ำแข็งมาเป็นล้านๆ ปี ว่าแต่ว่าแล้วมนุษย์จะอยู่กันได้หรือ ขอให้ดาภาพประกอบด้านล่างนี้
ที่นอนอยู่บนพื้นถนนนี้ไม่ใช่มนุษย์น้ำแข็ง แต่เป็นพวกเร่ร่อนในเมือง (homeless people) ถ้าถามว่าอากาศไม่หนาวหรือให้สังเกตุดูคนที่กำลังเดินผ่านไป ช่วงนี้อยู่ระหว่างกลางฤดูหนาประมาณ -15 องศา แต่ที่ผู้ชายคนในภาพนอนตากอากาศอยู่ได้เพราะเขานอนทับช่องระบายอากาศของอุโมงรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีไออุ่นของอากาศจากอุโมงใต้ดินขี้นมาช่วยให้อุ่นขึ้นมาบ้างสังเกตุจากไอน้ำที่ลอยตัวอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าไม่เย็นเลย รับรองได้ว่าเย็นจับใจแต่คนเร่ร่อนพวกนี้ไม่มีทางเลือก พวกเค้าอาศัยอยู่ริมถนนขอทานยังชีพ บางคนได้เงินจากรัฐบาลช่วยหรืออาจได้จากบางองค์กรช่วยเหลือสังคนมบ้างพอประทังชีพ ความจริงรัฐบาลมีที่พักให้แต่มีกฎกติกาเข็มงวด คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะปฏิเสธเข้าไปอยู่เพราะพวกเค้าติดเหล้าติดยา อยู่ใต้ระเบียบของรัฐบาลไม่ได้ เลยออกมาเร่ร่อนนอนอยู่ริมถนน บางปีถ้าหนาวจัดๆ คนพวกนี้ตอนเข้าก็กลายเป็นศพแช่แข็งอยู่ริมถนนไป เป็นปัญหาของสังคมเมืองต่อไป

มีคำถาม มนุษย์ที่ยังมีลมหายใจสามารถต่านทางความหนาวเย็นได้เท่าใด คำตอบคือมนุษย์ตัวเปล่าก็เหมือกันทั่วไปหนาวติดลบนิดหน่อยก็ตายได้แล้ว แต่มนุษย์มีความฉลาดเฉลียวสามารถหาเครื่องนุ่งห่มและทำสิ่งปลูกสร้างมากำบัง และสร้างความอบอุ่นในตัวให้คงที่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกางเกงหนาๆ ใส่หลายๆ ชั้น มีหมวกถุงมือผ้าพันคอ คอยควบคุมอุนภูมิเอาไว้ทำให้ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเดินฝ่าพายุหิมะหรือขี่จักรยานฝ่าความหนาวเย็นไปได้