Thursday, January 27, 2011

Man Best Friend


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2011 ว่า ท่ามกลางเหตุการณ์สลดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในกรุงริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล ซึ่งได้คร่าชีวิตประชาชนกว่า 630 คน และในเหตุการณ์สูญเสียในครั้งนี้ ชาวบราซิลต่างประทับใจกับภาพเหตุการณ์ สุนัขตัวหนึ่งชื่อ"ลีโอ"ที่นั่งเฝ้าหน้าหลุมฝันเจ้าของของมันอย่างภักดี

รายงานระบุว่า เจ้าของสุนัขตัวนี้ชื่อ คริสติน่า มาเรีย เซซาริโอ ซานตาน่า ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อโศกนาฎกรรมอุทกภัยร้ายแรง โดยเมื่อร่างของเธอถูกนำมาฝังยังหลุมศพหมู่ สุนัขของเธอก็มานั่งไว้อาลัยให้แก่เธอ โดยในช่วงกลางวัน มันจะเตร็ดเตร่เดินไปตามถนนต่าง ๆ แต่เมื่อตกกลางคืน มันก็จะกลับมาเฝ้าหลุมศพของเธอ นอกจากนี้ ครั้งหนึ่งสุนัขตัวนี้ ยังตะกุยคุ้ยเขี่ยดิน ราวกับว่าต้องการจะกู้ชีพเจ้าของของมันด้วย

พฤติกรรมของมันตกเป็นข่าวตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.และกลายเป็นข่าวกินใจสำหรับชาวบราซิลตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตาม ชาวบราซิลต่างเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คอยดูแลสุนัขตัวนี้ เพราะเกรงว่ามันอาจจะตายในไม่ช้านี้ เนื่องจากมีรายงานข่าวว่า มันไม่ยอมกินอาหารมาเป็นเวลาหลายวัน อย่างไรก็ตาม เจ้าสุนัขตัวนี้ ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด และล่าสุดถูกย้ายอย่างปลอดภัยไปยังที่พักสำหรับมันแล้ว

ภาพเหตุการณ์จากประเทศบราซิล ได้สะกิดเตือนให้หวนคิดถึงเรื่องราวแสนเศร้าในอดีดที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของสุนัขตัวหนึ่งที่เฝ้ารอรับเจ้าของที่สถานีรถไฟ โดยหารู้ไม่ว่าเจ้านายของตัวได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภัคดี สุนัขตัวนั้นได้เฝ้ารอเจ้าของจนตราบสิ้นลมหายใจสุดท้าย สุนัขตัวนี้ชื่อ
Hachiko




ฮาจิโกะมาอยู่กับศาสตราจารย์ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียว) เมื่ออายุได้เพียง 2 เดือน ฮาจิโกะเป็นสุนัขพันธุ์อคิตะสายพันธุ์แท้ที่หาได้ยากยิ่ง ณ ขนะนั้น ทำให้ ศ.อุเอะโนะภูมิใจในตัวของมันเป็นอย่างมาก ทุกวันเขาจะพร่ำบอกกับมันว่า ฮาจิโกะเจ้าช่างเป็นสุนัขที่ดีเหลือเกิน เจ้าช่างเป็นสุนัขที่สวยงามเหลือเกิน


ศาสตราจารย์ อุเอโนะ


ศ.อุเอโนะต้องเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย โดยขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ ตอนเช้าฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายที่ประตูหน้าบ้าน และในตอนเย็นเมื่อถึงเวลาเลิกงาน 15.00 น. ฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอยู่เสมอ





แต่แล้วเมื่อฮาจิโกะยังมีอายุไม่ถึง 2 ปี ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1925 ศ.อุเอะโนะ ได้เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย ในวันนั้นฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่รู้เลยว่ามันจะไม่มีวันได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว

ภายหลังการเสียชีวิตของ ศ.อุเอโนะ ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้าน และนำฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายกิโลเมตร แต่ไม่มีอะไรขังหัวใจของฮาจิโกะได้ เพราะทุกครั้งที่มันหนีออกมาได้ มันจะวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมัน แต่ก็ไม่เคยเจอใคร ในที่สุดฮาจิโกะก็รู้แล้วว่าเจ้านายของมันไม่ได้อยู่ที่บ้านอีกแล้ว มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่



Hachiko กับเด็กๆที่สถานีรถไฟ


ฮาจิโกะจะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟในวลา 15.00 น.ทุกวัน ทุกครั้งที่รถไฟเข้าเทียบท่า มันก็จะชะเง้อคอคอยมองหาเจ้านายของมันท่ามกลางผู้คนมากมาย ฮาจิโกะทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมทุกๆ วัน ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยมี คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลฮาจิโกะ คนที่ผ่านไปมาบางคนก็ให้อาหาร และวิเคราะห์กันไปว่า ที่ฮาจิโกะมาทุกวันนั้นเป็นเพราะหิวอาหาร แต่เมื่อสังเกตพฤติกรรมให้ดีแล้วจะพบว่ามันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะอาการที่มันชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอดนั้น เป็นการที่มันมองหา ศ.อุเอโนะนายของมันจริงๆ


Hachiko กับผู้คนที่ผ่านไปมา

เรื่องราวความจงรักภักดีของมัน เป็นที่กล่าวขานแก่ผู้คน ในปี 1932 เรื่องของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่น ผู้คนทั่วประเทศต่างเดินทางมาดูและมาเล่นกับฮาจิโกะ ชาวญี่ปุ่นยังยกย่องให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย ถึงขนาดที่จักรพรรดินีญี่ปุ่นได้ให้หล่อรูปทองแดงขึ้นในปี 1934 และให้นำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบุย่า

และแล้ว...ในวันที่ 8 มีนาคม 1935 มีคนพบฮาจิโกะนอนตายอยู่ตรงที่ที่มันมักจะมารอคอยเจ้านายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในที่สุด...ฮาจิโกะก็ได้เดินทางกลับไปพบเจ้านายของมันอีกครั้ง...สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานเสียที

ข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว นอกจากรูปหล่อที่ย่านชิบูยะแล้ว ยังมีรูปปั้นที่เตือนให้ระลึกถึงฮาจิโกะอยู่อีกหลายแห่ง เช่น ที่หน้าสถานีรถไฟโอะดะเตะ ในจังหวัดอากิตะ บ้านเกิดของเจ้าฮาจิโกะ เป็นต้น เรื่องของฮาจิโกะยังคงเป็นที่เล่าขาน เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ มีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน หนังสือเรียนและอื่นๆ



รูปปั้นที่ย่านชิบูยา



ร่างของ Hachiko ที่พิพิธภัณฑ์

เรื่องราวของสุนัขแสนซื่อบริสุทธิเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์ที่สอนให้เราได้รู้ว่า
"
ความรักแท้มีจริง และเพื่อความรักแล้วเราต้องมีความอดทน ความซื่อสัตย์ และมีความหวัง ตราบสิ้นลมหายใจ"



Friday, January 14, 2011

คิดบวก ชีวิตบวก

คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life



เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย



เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลักพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง



เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนันตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด



เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์ธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

ว.วชิรเมธี