Tuesday, December 13, 2011

เรื่องช้อนยาวหนึ่งเมตร

(จับเรื่องราวบนโลกไซเบอร์มาเล่าต่อกันฟัง)

เรื่อง ช้อนยาวหนึ่งเมตร  
มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้าน ในเวลากลางคืนมีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนไปเที่ยวสวรรค์และนรกเขาก็ตกลงใจไปด้วย นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งแล้วบอกว่า 'ถึงนรกแล้ว' ที่นั้นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีตอร่อยมีคุณค่าทุกประเภท มีคนนั่งอยู่หลายคนนางฟ้าก็บอกว่า 'นี่สัตว์นรก' คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก แต่ดูสิ ดูพวกเขา ตัวของเขาผอม เหลือง น่าสงสาร  

นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆได้แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเองคนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด เขามีความวุ่นวายเดือดร้อนมากพยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก พวกเขาจึงผอมโซเพราะอดอาหารทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ทำไมพวกเขาไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้  

นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้ว บอกว่า 'ถึงสวรรค์แล้ว' ห้องที่สองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการมีโต๊ะอาหารยาว ๆ อาหารประณีตหลาย ๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรกมีเก้าอี้รอบมีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่านี่เทวดาบนสวรรค์  แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย แล้วดูสิว่าพวกเขากินอาหารกันได้อย่างไรทั้งๆที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรตักอาหารเหมือนกับที่นรก เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรกทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริงแข็งแรง พอสังเกตดูดี ๆ  อ้อ..เห็นวิธีของชาวสวรรค์ คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะเขาตักอาหารด้วยช้อนยาว ๆ เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้ก็เลยได้กินกันทุกคนอยู่อย่างสุขสบาย  

สรุปว่า ที่นรกนั้นคนคิดแต่จะได้อย่างเดียว คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง คิดแต่ว่าเราจะได้อาหารได้สิ่งที่เราชอบโดยไม่คิดถึงคนอื่น แต่ที่สวรรค์นั้นมีการช่วยเหลือกันมีความรักสามัคคีกัน คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วยจึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน  

ตื่นขึ้นมาแต่ละวัน อย่าถามว่าตัวเราจะได้อะไรจากสังคม แต่จงถามให้มากว่าเราจะให้อะไรกับสังคมได้บ้าง

Tuesday, November 29, 2011

การเวก


 "เรืองรองผ่องแสงสุริยา
มองดูฟ้าตะวันคล้อยลอยลงต่ำ
ฟ้าประทานกลิ่นอวนจวนจะค่ำ
ช่างดื่มด่ำเย้ายวนรัญจวนใจ
...หอมซาบซึ้งคนึงครวญถึงนวลนาง
ดั่งกลิ่นปรางนางหวลชวนชิดใกล้
ลอยตามลมฝากรักสลักใจ
เชิญเราให้ไขว่คว้าเอามาครอง
...การเวก..เสกมนต์ให้พวัง
ได้สมหวังครั้งนี้ที่เราสอง
มั่นในรักฝากใจให้เคียงครอง
ขอรับรองว่ารักมั่น...นิรันดร"

มนู สุขศรี
26 ก.ค. 2016




Sunday, July 31, 2011

“Caribana” Caribbean Carnival Toronto



หลังจากผ่านฤดูหนาวอันเยือกเย็นยาวนานมาสู่ฤดูร้อนอันสดใสของเมืองโตรอนโต ชาวแคนาดาจะนึกถึงขบวนแห่อันระยิบระยับแพรวพราย ความตื่นตาตื่นใจกับสีสันของเครื่องแต่งกายอันน่าพิศวง วงดุริยางค์ที่ใช้เครื่องดนตรีของชาวแคริบเบียน หรือชาวหมู่เกาะในอเมริกากลาง โดยเฉพาะกลองกระทะเหล็ก (steel pan) ที่ให้เสียงเพลงสำเนียงแคริเบี้ยนที่โลกรู้จัก ขบวนแห่ยาวเหยียดหลากสีสัน การเต้นรำอย่างสนุกสนานสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมตลอดเส้นทางบนถนนเลียบทะเลสาบออนตาริโอ งานรื่นเริงประจำปีของคนผิวดำชาวแคริบเบียน เดิมเรียกว่า Caribana ที่ได้เปลี่ยนชื่อเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็น สโกเทีย-แคริบเบียน คาร์นิวาล (Scotiabank Caribbean Carnival Toronto) เทศกาลฉลองปีนี้ครบรอบ 44 ปี ในปี 2011 นี้




เทศกาลแคริบเบียนในโตรอนโตนี้ถือว่าเป็นงานยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ นำเสนอโดยคณะกรรมการบริหารงานเทศกาลเ ของเมืองโตรอนโต ที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาร่วมเทศกาลนับล้านคน เป็นประจำทุกปี รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน
นับแสนคนข้ามฝั่งเข้ามามาแคนาดาเพื่อเข้ามาร่วมในเทศกาล จุดเด่นของเทศกาลนี้ คือการแต่งกายที่สุดอลังการ สุดสวยด้วยการออกแบบด้วยสีสันตระการตา ตามแบบฉบับชาวแคริเบียน (masqueraders costumed) ลีลาการเต้นที่สนุกสนานด้วยจังหวะ เร็กเก้, ซัลซา ลาตินอเมริกา และอัฟริกัน ผสมผสานกัน บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีพื้นเมืองและตนตรีสมัยใหม่ เป็นเสียงดนตรีที่สนุกสนานเร้าใจแบบฉบับชาวแคริเบี้ยน ขบวนแห่ยาวเหยียดทั้งเดิน เต้น เล่น ร้อง ทั้งเดินเท้าและอยู่บนรถบรรทุกที่ตกแต่งอย่างสวยงาน พาเหรดบนเส้นทางยาว กว่า 15 กิโลเมตร บนถนนเรียบริมทะเลสาบออนตาริโอ ตลอดเส้นทางเรียงรายแน่นขนัดไปด้วยฝูงชนที่มาชมด้วยสายตาเปี่ยมสุข ร้องเล่นเต้นรำตามเสียงดนตรีของขบวนที่ผ่านไป และนี่คือจุดเด่นสุดของแคริบานา (Caribana) ที่ผู้คนจากทั่วโลกรู้จักและติดตามเข้าร่วมงานเทศกาลนี้ทุกปี




Caribana เริมจัดขึ้นในปี 1967 เป็นโครงการมรดกชุมชน เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของประเทศแคนาดา ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากงานเทศการ คาร์นิวัล ของ ประเทศทรีนิเดด (Trinidad Carnival) หนึ่งในประเทศในหมู่เกาะแคริเบี้ยน งานเฉลิมฉลองนี้รวมถึง การบรรเลงเพลง, เต้นรำ, อาหารและเครื่องแต่งกายของหมู่เกาะแคริบเบียนและวัฒนธรรมของประเทศเหล่านั้น ที่ปรากฎในเมืองโตรอนโต -- เมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดของโลก



Wednesday, June 22, 2011

บทกวีนิรันดร์กาล 2

"ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย"

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

วิทยากร เชียงกูล

ด้านล่างนี้คือฉบับเต็ม

ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน
บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
คนเดินผ่าน ไปมากัน
เขาด้นดั้น หาสิ่งใด

ปัญญา มีขาย ที่นี่หรือ
จะแย่งซื้อ ได้ที่ไหน
อย่างที่โก้ หรูหรา ราคาเท่าใด
จะให้พ่อ ขายนา มาแลกเอา

ฉันมา ฉันเห็น ฉันแพ้
ยินแต่ เสียงด่า ว่าโง่เง่า
เพลงที่นี่ ไม่หวาน เหมือนบ้านเรา
ใครไม่เข้า ถึงพอ เขาเยาะเย้ย

นี่จะให้ อะไร กันบ้างไหม
มหาวิทยาลัย ใหญ่โตเหวย
แม้นท่าน มิอาจให้ อะไรเลย
วานนิ่งเฉย อย่าบ่น อย่าโวยวาย

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

มืดจริงหนอ สถาบัน อันกว้างขวาง
ปล่อยฉัน อ้างว้าง ขับเคี่ยว
เดินหา ซื้อปัญญา จนหน้าเซียว
เทียวมา เทียวไป ไม่รู้วัน

ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน
บานอยู่เต็ม ฟากสวรรค์
เกินพอ ให้เจ้า แบ่งปัน
จงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป

บทกวีนิรันดร์กาล 1

"เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"


"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า

ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ

ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูน

ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป

เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่

ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่

เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ

ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

วิสา คัญทัพ


ด้านล่างนี้เป็นฉบับเต็ม

สิบสี่ตุลาวันมหาปิติ
พระปกเกล้าทรงดำริพระราชดำรัส
ทรงลงพระปรมาภิไธยอนุมัติ
ไทยยังจำคำสัตย์เสมอมา
สองสี่เจ็ดห้าถึงสองพันห้าร้อยสิบหก
โอ้พระปกฯประชาธิปไตยอยู่ไหนหนา
สิ้นแผ่นดินเผด็จการก็ลานตา
ทุรชนเรียงหน้าเข้าราวี
สิบสี่ตุลาวันมหาวิปโยค
ลูกหลานไทยเลือดโชกทั่วพื้นที่
คาวเลือดคลุ้งนองสาดเพื่อชาติพลี
มาเถิดกูสู้ไม่หนีวีรชน
เขาเพรียกเสียงเพียงขานประสานก้อง
เขาเรียกร้องรัฐธรรมนูญเพิ่มพูนผล
เขายืนหยัดต่อสู้ศัตรูคน
เขาสู้ทนเพื่อมหาประชาไทย
สิบสี่ตุลาวันมหาปิติ
มาฟังสิฟังเสียงสำเนียงใส
เสียงชโยโห่ร้องดังก้องไกล
ประชาชนขับไล่เผด็จการ
คราบน้ำตายังไม่แห้งลงเหือดหาย
เพื่อนพี่น้องล้มตายทุรนร่าน
พ่อข้าเพิ่งจะยิ้มอย่างสำราญ
เห็นลูกมันกล้าหาญก็ภูมิใจ
ครบรอบปีสิบสี่ตุลา
ประชาชนถ้วนหน้าก็ร่ำไห้
ดวงวิญญาณวีรชนอยู่หนใด
วันนี้ร้อยมาลัยมาบูชา
มโหรีจะโหมโรงเป็นระลอก
มหกรรมในนอกจะแน่นหนา
และผู้คนทุกชนชาติจะยาตรา
โปรดมาลาจุดธูปคลุ้งทุ่งพระเมรุ
ครบรอบปีสิบสี่ตุลา
ราชดำเนินเลือดทาแผ่นดินเด่น
วีรกรรมอาชีวะที่กะเกณฑ์
ก็หนุนเนื่องเนืองเห็นเป็นประจำ
รอยเลือดแลกเลือดเดือดพล่าน
อาจหาญโหมรุกบุกกระหน่ำ
สามัคคีมิตรสหายออกร่ายรำ
มุ่งนำประชาธิปไตยหมายทุน
ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

Thursday, January 27, 2011

Man Best Friend


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2011 ว่า ท่ามกลางเหตุการณ์สลดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในกรุงริโอ เดอ จาไนโร ประเทศบราซิล ซึ่งได้คร่าชีวิตประชาชนกว่า 630 คน และในเหตุการณ์สูญเสียในครั้งนี้ ชาวบราซิลต่างประทับใจกับภาพเหตุการณ์ สุนัขตัวหนึ่งชื่อ"ลีโอ"ที่นั่งเฝ้าหน้าหลุมฝันเจ้าของของมันอย่างภักดี

รายงานระบุว่า เจ้าของสุนัขตัวนี้ชื่อ คริสติน่า มาเรีย เซซาริโอ ซานตาน่า ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อโศกนาฎกรรมอุทกภัยร้ายแรง โดยเมื่อร่างของเธอถูกนำมาฝังยังหลุมศพหมู่ สุนัขของเธอก็มานั่งไว้อาลัยให้แก่เธอ โดยในช่วงกลางวัน มันจะเตร็ดเตร่เดินไปตามถนนต่าง ๆ แต่เมื่อตกกลางคืน มันก็จะกลับมาเฝ้าหลุมศพของเธอ นอกจากนี้ ครั้งหนึ่งสุนัขตัวนี้ ยังตะกุยคุ้ยเขี่ยดิน ราวกับว่าต้องการจะกู้ชีพเจ้าของของมันด้วย

พฤติกรรมของมันตกเป็นข่าวตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.และกลายเป็นข่าวกินใจสำหรับชาวบราซิลตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตาม ชาวบราซิลต่างเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คอยดูแลสุนัขตัวนี้ เพราะเกรงว่ามันอาจจะตายในไม่ช้านี้ เนื่องจากมีรายงานข่าวว่า มันไม่ยอมกินอาหารมาเป็นเวลาหลายวัน อย่างไรก็ตาม เจ้าสุนัขตัวนี้ ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด และล่าสุดถูกย้ายอย่างปลอดภัยไปยังที่พักสำหรับมันแล้ว

ภาพเหตุการณ์จากประเทศบราซิล ได้สะกิดเตือนให้หวนคิดถึงเรื่องราวแสนเศร้าในอดีดที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวของสุนัขตัวหนึ่งที่เฝ้ารอรับเจ้าของที่สถานีรถไฟ โดยหารู้ไม่ว่าเจ้านายของตัวได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภัคดี สุนัขตัวนั้นได้เฝ้ารอเจ้าของจนตราบสิ้นลมหายใจสุดท้าย สุนัขตัวนี้ชื่อ
Hachiko




ฮาจิโกะมาอยู่กับศาสตราจารย์ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียว) เมื่ออายุได้เพียง 2 เดือน ฮาจิโกะเป็นสุนัขพันธุ์อคิตะสายพันธุ์แท้ที่หาได้ยากยิ่ง ณ ขนะนั้น ทำให้ ศ.อุเอะโนะภูมิใจในตัวของมันเป็นอย่างมาก ทุกวันเขาจะพร่ำบอกกับมันว่า ฮาจิโกะเจ้าช่างเป็นสุนัขที่ดีเหลือเกิน เจ้าช่างเป็นสุนัขที่สวยงามเหลือเกิน


ศาสตราจารย์ อุเอโนะ


ศ.อุเอโนะต้องเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย โดยขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ ตอนเช้าฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายที่ประตูหน้าบ้าน และในตอนเย็นเมื่อถึงเวลาเลิกงาน 15.00 น. ฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอยู่เสมอ





แต่แล้วเมื่อฮาจิโกะยังมีอายุไม่ถึง 2 ปี ในวันที่ 21 พฤษภาคม 1925 ศ.อุเอะโนะ ได้เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย ในวันนั้นฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่รู้เลยว่ามันจะไม่มีวันได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว

ภายหลังการเสียชีวิตของ ศ.อุเอโนะ ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้าน และนำฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายกิโลเมตร แต่ไม่มีอะไรขังหัวใจของฮาจิโกะได้ เพราะทุกครั้งที่มันหนีออกมาได้ มันจะวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมัน แต่ก็ไม่เคยเจอใคร ในที่สุดฮาจิโกะก็รู้แล้วว่าเจ้านายของมันไม่ได้อยู่ที่บ้านอีกแล้ว มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่



Hachiko กับเด็กๆที่สถานีรถไฟ


ฮาจิโกะจะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟในวลา 15.00 น.ทุกวัน ทุกครั้งที่รถไฟเข้าเทียบท่า มันก็จะชะเง้อคอคอยมองหาเจ้านายของมันท่ามกลางผู้คนมากมาย ฮาจิโกะทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมทุกๆ วัน ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยมี คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลฮาจิโกะ คนที่ผ่านไปมาบางคนก็ให้อาหาร และวิเคราะห์กันไปว่า ที่ฮาจิโกะมาทุกวันนั้นเป็นเพราะหิวอาหาร แต่เมื่อสังเกตพฤติกรรมให้ดีแล้วจะพบว่ามันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะอาการที่มันชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอดนั้น เป็นการที่มันมองหา ศ.อุเอโนะนายของมันจริงๆ


Hachiko กับผู้คนที่ผ่านไปมา

เรื่องราวความจงรักภักดีของมัน เป็นที่กล่าวขานแก่ผู้คน ในปี 1932 เรื่องของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่น ผู้คนทั่วประเทศต่างเดินทางมาดูและมาเล่นกับฮาจิโกะ ชาวญี่ปุ่นยังยกย่องให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย ถึงขนาดที่จักรพรรดินีญี่ปุ่นได้ให้หล่อรูปทองแดงขึ้นในปี 1934 และให้นำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบุย่า

และแล้ว...ในวันที่ 8 มีนาคม 1935 มีคนพบฮาจิโกะนอนตายอยู่ตรงที่ที่มันมักจะมารอคอยเจ้านายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในที่สุด...ฮาจิโกะก็ได้เดินทางกลับไปพบเจ้านายของมันอีกครั้ง...สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานเสียที

ข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว นอกจากรูปหล่อที่ย่านชิบูยะแล้ว ยังมีรูปปั้นที่เตือนให้ระลึกถึงฮาจิโกะอยู่อีกหลายแห่ง เช่น ที่หน้าสถานีรถไฟโอะดะเตะ ในจังหวัดอากิตะ บ้านเกิดของเจ้าฮาจิโกะ เป็นต้น เรื่องของฮาจิโกะยังคงเป็นที่เล่าขาน เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ มีการนำไปสร้างเป็นละคร ภาพยนตร์ การ์ตูน หนังสือเรียนและอื่นๆ



รูปปั้นที่ย่านชิบูยา



ร่างของ Hachiko ที่พิพิธภัณฑ์

เรื่องราวของสุนัขแสนซื่อบริสุทธิเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์ที่สอนให้เราได้รู้ว่า
"
ความรักแท้มีจริง และเพื่อความรักแล้วเราต้องมีความอดทน ความซื่อสัตย์ และมีความหวัง ตราบสิ้นลมหายใจ"



Friday, January 14, 2011

คิดบวก ชีวิตบวก

คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life



เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย



เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลักพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง



เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนันตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด



เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์ธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

ว.วชิรเมธี