Tuesday, July 28, 2009

Five important lessons

บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด
ระหว่างเดือนที่สองของฉันหลังเข้าเรียนที่วิทยาลัย อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามเหล่านั้นได้ไม่ยากนัก จนมาถึงคำถามข้อสุดท้าย "สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร" ฉันคิดว่าต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเห็นหล่อนหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุประมาณ 50 กว่าๆ แต่ฉันจะไปรู้ชื่อเธอได้อย่างไร ก่อนหมดคาบเรียน ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งได้ถามอาจารย์ว่า คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมเป็นคะแนนของผลการทดสอบด้วยหรือไม่ "แน่นอน" อาจารย์ตอบพร้อมกับให้บทเรียนกับพวกเราว่า " ในการประกอบวิชาชีพของพวกคุณ คุณจะต้องพบกับผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่จะได้รับความสนใจและสมควรเอาใจใส่ แม้ว่าพวกคุณจะทำได้แค่กล่าวคำทักทายหรือเพียงแต่ส่งยิ้มให้ก็ตาม" ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี

First Important Lesson - Cleaning Lady
During my second month of college, our professor gave us a pop quiz. I was a conscientious student and had breezed through the questions, until I read the last one: "What is the first name of the woman who cleans the school?" Surely this was some kind of joke. I had seen the cleaning woman several times. She was tall, dark-haired and in her 50s, but how would I know her name? I handed in my paper, leaving the last question blank. Just before class ended, one student asked if the last question would count toward our quiz grade. "Absolutely," said the professor. "In your careers, you will meet many people. All are significant. They deserve your attention and care, even if all you do is smile and say hello." I've never forgotten that lesson. I also learned her name was Dorothy.

บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน
คืนหนึ่ง เวลาประมาณ 23:30 น. หญิงชราชาวอเมริกันผิวดำคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สาย อลาบามา พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชกไปทั้งตัว เธอก็ตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มอเมริกันผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างรุนแรงในทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็กล่าวขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้ โดยมีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขาเพื่อนำโทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งมาส่งที่บ้านของเขา พร้อมกับมีกระดาษเขียนข้อความแนบมาด้วยว่า: "ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น มันได้ชะล้างเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปทันได้ดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ก่อนเวลาที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
ด้วยความจริงใจ
นาง แนท คิง โคล

Second Important Lesson - Pickup in the Rain
One night, at 11.30 p.m., an older African American woman was standing on the side of an Alabama highway trying to endure a lashing rainstorm. Her car had broken down and she desperately needed a ride. Soaking wet, she decided to flag down the next car. A young white man stopped to help her, generally unheard of in those conflict-filled 1960s. The man took her to safety, helped her get assistance and put her into a taxicab. She seemed to be in a big hurry, but wrote down his address and thanked him. Seven days went by and a knock came on the man's door. To his surprise, a giant console color TV was delivered to his home. A special note was attached. It read:
Thank you so much for assisting me on the highway the other night. The rain drenched not only my clothes, but also my spirits. Then you came along. Because of you, I was able to make it to my dying husband's bedside just before he passed away. God blesses you for helping me and unselfishly serving others.
Sincerely,
Mrs. Nat King Cole

บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ
ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ""ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วก็นับเหรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่" เด็กชายถามอีก ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง "ผมขอไอศครีมเปล่าที่หนึ่งครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอาไอศครีมมาให้ พร้อมกับวางใบเสร็จแล้วก็เดินหนีไป เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้วก็จ่ายเงินจากนั้นก็ลุกเดินจากไป เมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา น้ำตาของเธอก็เริ่มเอ่อล้นออกมา เมื่อเธอลงมือทำความสะอาดโต๊ะ บนโต๊ะนั้น มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างจานเปล่านั้น เธอได้รับบทเรียนว่า เด็กชายคนนั้นยอมที่จะไม่ทานไอศครีมซันเดทั้งที่มีเงินพอ แต่เค้าเลือกทานไอศครีมราคาถูกกว่า เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ให้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น

Third Important Lesson - Always Remember Those Who Serve
In the days when an ice cream sundae cost much less, a 10-year-old boy entered a hotel coffee shop and sat at a table. A waitress put a glass of water in front of him. "How much is an ice cream sundae?" he asked. "Fifty cents," replied the waitress. The little boy pulled his hand out of his pocket and studied the coins in it. "Well how much is a plain dish of ice cream?" he inquired. By now more people were waiting for a table and the waitress was growing impatient. "Thirty-five cents," she brusquely replied. The little boy again counted his coins. "I'll have the plain ice cream," he said. The waitress brought the ice cream, put the bill on the table and walked away.
The boy finished the ice cream, paid the cashier and left. When the waitress came back, she began to cry as she wiped down the table. There, placed neatly beside the empty dish, were two nickels and five pennies. You see, he couldn't have the sundae because he had to have enough left to leave her a tip.

บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา
ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่ เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป พวกเขาได้กล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานาว่าพระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า "ทองในถุงนี้ เป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน" ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ว่า "ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่ราจะดีขึ้นให้กับเรา"

Fourth Important Lesson - The Obstacle in Our Path
In ancient times, a King had a boulder placed on a roadway. Then he hid himself and watched to see if anyone would remove the huge rock. Some of the king's wealthiest merchants and courtiers came by and simply walked around it. Many loudly blamed the King for not keeping the roads clear, but none did anything about getting the stone out of the way.
Then a peasant came along carrying a load of vegetables. Upon approaching the boulder, the peasant laid down his burden and tried to move the stone to the side of the road. After much pushing and straining, he finally succeeded. After the peasant picked up his load of vegetables, he noticed a purse lying in the road where the boulder had been. The purse contained many gold coins and a note from the King indicating that the gold was for the person who removed the boulder from the roadway. The peasant learned what many of us never understand. Every obstacle presents an opportunity to improve our condition.

บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า
หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหารย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายถึงสถานการณ์นี้ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า "เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่" ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า "ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้" เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่บนเตียงเคียงข้างกับเตียงของพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ "ผมกำลังจะตายใช่ไหม" ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ

Fifth Important Lesson - Giving when it counts
Many years ago, when I worked as a volunteer at a hospital, I got to know a little girl named Liz who was suffering from a rare and serious disease. Her only chance of recovery appeared to be a blood transfusion from her 5-year old brother, who had miraculously survived the same disease and had developed the antibodies, needed to combat the illness. The doctor explained the situation to her little brother and asked the little boy if he would be willing to give his blood to his sister. I saw him hesitate for only a moment before taking a deep breath and saying, "Yes, I'll do it if it will save her." As the transfusion progressed, he lay in bed next to his sister and smiled, as we all did, seeing the color returning to her cheek. Then his face grew pale and his smile faded. He looked up at the doctor and asked with a trembling voice, "Will I Start to die right away?" Being young, the little boy had misunderstood the doctor; he thought he was going to have to give his sister all of his blood in order to save her. Yet he was willing.

จดจำไว้ว่า " ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่"

Remember, "Work like you don't need the money, love like you've never been hurt, and dance like you do when nobody's watching."

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใดๆในการช่วยเหลือผู้อื่น หรืออาจจะไม่มีใครรู้ ใครเห็นด้วยซ้ำ แต่ความสุขจากการให้ นั้นคือรางวัลที่ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าถ้วยรางวัลเกียรติยศเสียอีก เพราะมันจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป... และความสุขไม่สามารถแตกสลายได้เหมือนถ้วยรางวัลใดๆ

We may not be presented any honour reward to help others, or there is nobody even knows about it. But the happiness you have from giving to others is the best reward. It is Better then any honour trophy. Because it will be in your memories forever ... and happiness can not be disintegrate like honour trophy.

Wednesday, July 15, 2009

วันพุธนี้ไม่มีสมาคม!!!

ท่านประธานสมาคมคนวันพุธประกาศหยุดชุมนุมหนึ่งวัน วันพุธนี้ไม่มีสมาคม ผู้สังเกตุการณ์และผู้ติดตามเหตุการณ์ หลายคนพยายามเลียบๆ เคียงๆ ถามหาสาเหตุ ของการประกาศหยุดกิจกรรมในคืนวันพุธ ที่ 15 กรกฎาคม 2009 หลายคนพยายามโยนก้อนหินถามทาง โดยคาดเดาว่าอาจจะมีการปิดสมาคมไปเลยหรือไง ยังไง ไฉน สมาชิกถาวรของเราพยายามเหมือนกันที่จะหลีกเลี่ยงคำถามที่ถาโถมเข้ามากวนใจ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังซึ่งหน้า กับคำถามที่ไม่เร้าใจเหล่านั้น เราไม่ได้ปกปิดความจริงอะไร กับเพียงเหตุเพราะว่าสมาชิกหลายคนติดภาระกิจเดินทางออกนอกเมืองโตรอนโตของเรา ไปเที่ยวพักผ่อนธรรมดานั่นแหละ แต่การตอบคำถามง่ายๆ ตรงๆ แบบนั้นมันไม่เรียกว่ามีความคิดสร้างสรรค์ เป็นการตอบคำถามแบบไร้จินตนาการ ไม่ใช่วิถีของสมาชิกชมรมคนวันพุธ การตอบคำถามจะต้องมีความน่าสนใจ น่าติดตาม และสร้างความยุ่งยากใจให้กับผู้อยากรู้อยากเห็นเหล่านั้น มันน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ
เขียนมาถึงตอนนี้ เลยนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้บอกแต่แรกว่า "สมาคมคนวันพุธ" เป็นอะไร? มาจากไหน? ใคร? อะไร? ยังไงกัน? ไหนๆ ก็เขียนให้งง กันเรียบร้อยไปแล้วก็ต้องอธิบายกันหน่อย แต่รับรองว่าเรื่องยาวแน่นอน
พวกเราเป็นคนไทยในต่างแดนครับ เกาะกลุ่มเพื่อนพึ่งพาอาศัยกันใน เมือง Toronto ประเทศ Canada มาเป็นเวลานานหลายปี นานแค่ไหน? อย่างท่านประธานสมาคม ท่านวีระ นี่อยู่มา 25 ปีแล้ว ท่านผู้อำนวยการสมาคม ท่านธงชัย อยู่มา 25 ปี ประธานที่ปรึกษาสมาคม ตัวข้าพเจ้าเอง ท่านเบิร์ด อยู่มา 22 ปี ท่านนายกสมาคม ท่านเซียะ อยู่มา 9 ปี ที่เหลือเป็นสมาชิกระดับท่านรองประธานสมาคมกับท่านรองนายกสมาคมก็อยู่เกาะกลุ่มกันมาหลายปีแล้ว สมาคมของเราไม่มีสมาชิกธรรมดา มีแต่สมาชิกระดับสูงระดับผู้บริหารอย่างเดียว ไม่มีสมาชิกระดับต่ำต้อย เพราะว่าเราต่างแต่งตั้งตัวเองกันขึ้นมา ที่กล่าวถึงทั้งหมดเป็นสมาชิกถาวร ส่วนสมาชิกขาจรก็มีเข้ามาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ แต่การตั้งวงกินเหล้าคืนวันพุธถือว่าเป็นอะไรที่แปลกและท้าทาย ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้ากินกันจนสว่างคาตาแล้วรุ่งเช้าจะมีสภาพเช่นไรตอนที่เข้ามาทำงาน คงต้องยกตัวอย่างตัวเองเพราะต้องทำงานกะเช้าพร้อมกับท่านธงชัยและท่านเซียะ เข้ามาเปิดร้านตอน 11 โมงเช้าแต่เพิ่งแยกกันเมื่อตอน 7 โมงเช้านี่เอง ไม่อยากสบตาก็แล้วกัน แต่ถึงยังไงเราก็ลากยาวไปจนหมดวันทำงานก็แล้วกัน ทำงานเดินตัวลอยไปเลย คอยประคองตัวให้ชิพทำงานไป

เรื่องราวในวงเหล้าเป็นแรงดึงดูดให้พวกเราเกาะกลุ่มกัน เป็นสาเหตุต้นๆ ของการเกิดสมาคมคนชอบเมาวันพุธ พวกเราจะคุยเอาฮากันเป็นหลัก นอกจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ประจำวัน ข่าวประจำวัน เรื่องน่าพูดถึงและไม่น่าพูดถึงต่างๆ ผสมผสานกันให้สนุกจนลืมเวลา พอหันหน้าไปมองหน้าร้านฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว พวกเราก็แตกวงไปบ้านใครบ้านมันแยกย้ายกันไป พอใกล้ถึงวันพุธอาทิตย์ต่อมาเราก็ค้นหาเมนูเด็ด กับแกล้มอะไรที่แปลกๆ ยากๆ อะไรที่เราอยากกินกันมานาน และก็จะวางแผนขวนขวายค้นหา จัดซื้อมาทำกินกันในคือวันพุธ วันประชุมสมาคม ความที่เรากินเหล้าทุกคือวันพุธติดต่อกันมานาน ทุกคนในร้านจึงเกิดอาการแปลกใจเมื่อมีการประกาศหยุดกินเหล้าวันพุธนี้ หลายไถ่ถามด้วยความห่วงใยว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นเรื่องที่ต้องทำใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหยุดประชุมกันนัดนี้ แต่การขาดสมาชิกหลักไปเกือบหมดจะทำให้การกินเหล้าไม่ออกรส งานจะกร่อยไปซะเปล่าๆ การหาเพื่อนที่คุยถูกคอกันจริงๆ นั้นหายาก คนที่ชง คนที่ตบ คนที่ซ้ำ จะต้องรู้แนวกันอย่างดีไม่งั้นไม่ฮา ขอรับประกันว่าวงของเรามีเรื่องฮามากกว่าตลกอาชีพบางคณะซะอีก หรือว่าจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องนี้...

"จอมขมังเวทย์"

ศักดากับผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมเป็นลูกผู้พี่ ศักดาเป็นลูกผู้น้องคือเป็นลุกของน้าสาวผม เราเกิดปีเดียวกันแต่ศักดาแก่เดือนกว่าผม 5 เดือน เราโตมาด้วยกันมีนิสัยคล้ายกันหลายอย่างและแตกต่างกันหลายอย่าง อย่างเช่นเรารักเรื่องกาพย์ กลอน เหมือนกัน เดินตามรอยสุนทรภู่ติดๆ มาด้วยกันจนเราสองคนเกือบจะได้เป็นนักกลอนมือหนึ่งของเมืองไทยถ้า..ถ้าศักดาไม่พาผมเลี้ยวเข้าวงกัญชาก่อน ใช่ครับดูดกัญชา เรื่องที่ศักดาแตกต่างจากผมอีกเรื่องหนึ่งคือ ศักดารักความเมาทั้งเหล้าและกัญชา ในสมัยเป็นหนุ่มรุ่นๆ ด้วยก้น
ผมกินเหล้าอยางเดียว กัญชาได้เหมือนกันแต่ไม่ชอบ เพราะดูดกัญชาแล้วกลายเป็นคนขึ้ระแวงกลัวสิ่งรอบข้างไปหมด เคยกลัวจิ้งจกกระโดดกันคอ ไร้สาระขนาดนี้เลยขอกินเหล้าอย่างเดียวดีกว่า

ผมชอบเล่นดนตรี รักในเสียงเพลง ศักดารักในเสียงเพลงเหมือนกันแต่ไม่เล่นดนตรี ผมเรียนแผนกศิลปะ เพราะชอบวาดรูป ศักดาชอบงานศิลป์เหมือนกัน เก่งงานปั้น แต่ชอบสะสมพระ การก้าวเข้าไปเป็นนักเลงพระเครื่องทำให้ศักดาก้าวลึกเข้าไปสู่มนต์ดำ ศักดากับผมบวชเรียนมาเหมือนกัน ผมสนใจอ่านพระไตรปิฏกเกือบหมดตู้ แต่ศักดาชอบเรียนรู้คาถาอาคม จำบทคาถาต่างๆ แม่นยำและทำเป็นวัตรปฎิบัติ เช้าตื่นขึ้นมามีคาถาเบิกเนตร ก่อนออกจากบ้านมีคาถาเสกแป้งผัดหน้า มีคาถาหลายบทที่ต้องท่องบ่น อย่างเข่น คาถามหาระรวย ให้ใครเห็นงงงวยนึกรักนึกของ คาถาสาลิกาลิ้นทอง พูดจาปราศรัยใครๆ ก็ชอบ ถ้านัดไปเที่ยวกันพวกเราต้องให้เวลาศักดาเสกคาถาจนครบเราถึงจะไปกันได้ เคยมีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักศักดายืนมองศักดาเสกคาถา แล้วอยู่ๆ ตกใจร้องชี้ให้ดูกลุ่มควันที่เกิดขึ้นรอบตัวศักดา ผมต้องอธิบายว่า มึงไม่ต้องตกใจไปหรอกมันเสกแป้ง พอเสร็จพิธีมันจะตบแป้งที่มือสองข้างก่อนจะทำพิธีผัดหน้า ไม่อย่างนั้นหน้ามันจะขาววอกเกินไป ไอ้ที่ฝุ้งอยู่นั้นมันแป้งไม่ใช่ควันไฟ

นอกจากพระเครืองรุ่นต่างๆ ที่ศักดาสะสม ยังมีเครื่องรางของขลังทุกชนิด ผ้ายันต์ ตระกรุด ลูกอม สายสินญ์ มีดหมอ ปลัดขิก




The president of Wednesday Night’s Association announced a day off. There is no meeting on Wednesday. Many of other people such as the note-tracking and event tried to skirt our members to inquiring the cause of the stop event on Wednesday night in the 15 July, 2009, many tried to get an answer by questions just like throw a stone to seek the way out. They are guessing that the Association may be close or Why? Why? Why? Our permanent members tried to avoid that kind of questions which may cause some problems distract.
That was not interesting questions. We do not hide the truth? The only reason is because several members just leaved Toronto to get a break on a weekend. But honestly answer a simple question, it is not called creativity. Question-answer is no imagination. That is not the way of people of Wednesday Night’s Association. Our answer must be interesting and observable troublemaker to be curious to them. That would be more fun.

Sunday, July 5, 2009

ยำสามกรอบ เป็นไฉน???


ระหว่างการประชุมคืนหนึ่งของเหล่าสมาชิกขมรมคนชอบเมาวันพุธ Wenesday Night's Clab ของมึนเมาและกลับแกล้มพร่องไปมากแล้ว เวลาก็ล่วงเลยผ่านตี 2 ไปนานแล้ว คุณเซี๊ยะ (CIA) ก้มหน้ามองซากยำปลาหมึกกรอบ ที่เหลือแต่ผักเครื่องยำเกาะติดบนผักรองจานอยู่นิดหน่อย แล้วเปรยขึ้นว่า "ผมนึกถึงยำสามกรอบ ตอนอยู่เมืองไทยเคยสั่งกินประจำ" หลังจากเห็นสีหน้าฉงนของเหล่าสมาชิกแล้ว คุณ CIA จึงพรรณนาเย้ายวนยั่วน้ำลายถึงยำสามกรอบ อันมี องค์ประกอบด้วย กระเพาะปลา ปลาหมึกทอดกรอบ เม็ดมะม่วงหิมพาน จนกระทั้งสมาชิกทุกคนมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ว่า เราจะต้องกิน "ยำสามกรอบ" กันในคืนวันพุธหน้า คงไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าคนที่ต้องจัดทำ"ยำสามกรอบ"ให้มวลมหาสมาชิกได้ลองลิ้มชิมรสกันคือใคร ในฐานะเป็น Chef ประจำวงเหล้าก็รับปากกับสมาชิกว่าเราจะได้กินกันอาทิตย์หน้า แต่ว่าปํญหาคือไอ้"ยำสามกรอบ"มันเป็นยังไงกัน????
ต้องขอกระซิบบอกล่ะครับว่า ไม่รู้จัก โถ...จะให้คนอยู่ห่างประเทศไทยมา 20 ปี รู้จักอาหารใหม่ๆ ของพวกขี้เมาไทยได้อย่างไร แต่เพื่อเป็นการรักษาหน้าตาไม่ฉีกขาด ในฐานะที่เป็น Chef ใหญ่ เลยต้องทำเนียนรับจัดให้ไปก่อน เมื่อรับงานเข้ามาแล้วก็ต้องมาสืนค้นคว้าหาสูตรอาหารให้ได้ก่อน ปรากฎว่าได้สูตร"ยำสามกรอบ"มาหลายสูตรให้ทดลองทำ ความคล้ายคลึงกันก็เป็นตัวสามกรอบ ที่ต้องมี กระเพาะปลา ปลาหมึกทอดกรอบ เม็ดมะม่วงหิมพาน เป็นหลักแต่บางสูตรเพิ่ม เนื้อไก่หรือเนื้อหมูทอดกรอบ กุ้งทอกกรอบ หรือใส้กรอกลงไปด้วย สำหรับน้ำยำหรือการปรุงรสคือน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลใช้แตกต่างกันไปอาจเป็นน้ำตาลปี๊ป น้ำตาลทรายแล้วแต่ชอบ จะใช้พริกสดหรือพริกป่นก็ได้ บางสูตรใส่น้ำพริกเผา บางสูตรโรยหน้าด้วยหอมเจียว ก็บอกสูตรต่างๆ ไว้เป็นวงกว้างก่อนเพราะอาหารไทยเราสามารถพัฒนาให้เป็นแนว fusion ได้ไม่ยาก รสชาติหลักต้องเป็นแบบไทยๆ เรา แต่รูปแบบการจัดวาง การเสิร์ฟ ก็สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ประกอบลงไป ถ้ารูปแบบออกมาสวยงาม และได้รสชาดสุดแสนอร่อย ลูกค้าติดอกติดใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม คนอีสานพูดว่า "ของแซบอยู่ที่ผู้มัก" หมายความว่าอาหารอร่อยอยู่ที่คนชอบ ดังนั้นบางทีอาหารที่เราทำออกมาได้รสชาดโดนใจของเราสุดๆ แต่กลับมีหลายคนไม่ถูกใจ บ้างก็ว่าอ่อนหวานไปหน่อยเพราะเป็นพวกติดหวาน บ้างก็ว่าต้องเปรี้ยวอีกหน่อยพวกนี้อะไรก็ต้องเปรี้ยวนำ แต่อย่างไรก็ตามไม่ต้องไปกังวล ถ้าเรามั่นใจก็ทำให้ได้รสที่เราต้องการแล้วนำเสนอไปอย่างนั้น ลิ้นมนุษย์เปลี่ยนแปลงเรื่องรสชาติได้ เหมือนกับความพึงใจของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ อย่างไรด็ตาม ถ้าเราจักรูปอาหารได้สวยงามแปลกตาหรือออกแบบออกมาให้ได้รูปแบบใหม่ ความสวยงามของอาหารในจามสามารถเปลี่ยนใจมนุษย์ได้ บางทีอาหารที่ลูกค้าบางคนไม่ชอบในรสชาด แต่พอจับมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ กลับชมชอบว่าอร่อยถูกใจ เอาล่ะเรามาเริ่มทำ"ยำสามกรอบ" กันเลยดีกว่า


"ยำสามกรอบ"
วิธีทำยำสามกรอบ ขั้นแรกชวนสมาชิกให้ตั้งวงเหล้ารอไปก่อน ชงเหล้าเสิร์ฟให้ครบทุกคน บอกให้สมาชิกทำใจให้สบาย พยายามอธิบายว่ากับแกล้มที่เรากำลังจะลงมือทำนั้นกินได้แน่นอน มีรสชาดอร่อย เป็นที่นิยมชม่ชอบกันเป็นอย่างสูง (ต้องสร้างจิดวิทยาด้านข้อมูล ให้สมาชิกได้รับทราบไว้เป็นพื้นฐานในใจก่อน และต่อไปพอสมาชิกเริ่มเมา อาหารจะอร่อยหมดทุกอย่างจากฐานข้อมูลนั้น)
1. เตรียมหั่นปลาหมึกแห้งวง, ไส้กรอก, กระเพาะปลา, กุ้งสด, กระเพาปลาหั่น 3 ส่วน
2. ทอดเม็ดมะม่วงก่อน
3. เอากุ้งสดเคล้าแป้งลงทอด ใกล้จะสุกเอาไส้กรอกลงทอดตาม
4. เอาปลาหมึกแห้งลงไฟแรง แป๊ปเดียวให้เอาขึ้นได้เลย (ถ้าจำเป็นต้องให้ปลาหมึกสด ให้เคล้าเกลือหรือน้ำปลานิดหน่อยแล้วลงทอดไปแรงจนกรอบแห้ง)
5. กระเพาปลาทอดด้วยไฟแรง เอาตระแกรงกดให้จมในน้ำมัน
6. ซอยหอมแดง หอมใหญ่ให้บางๆ และซอยพริกขี้หนูเฉียงๆ สำหรับหอมแดงทอดให้กรอบแล้วผึ่งเอาได้
7. เอาชามสำหรับยำมาผสมเครื่องปรุงรสให้เข้ากันให้ดีก่อน โดยใช้ พริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ½ ช้อนโต๊ะ , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ. (ประมาณน้ำมะนาวจะเท่าน้ำปลาเสมอ) คนให้เข้ากัน
8. เอากุ้งทอด และไส้กรอกลงก่อน ตามด้วยปลาหมึก แล้วคนให้เข้ากัน ใส่หอมซอยลงไป
9. เอากระเพาปลาใส่แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งวางไว้บนจานที่จะเตรียมเสริฟ์ (ค่อยๆ เคล้ากันอย่าบีบแรงเดี๋ยวกระเพาปลาจะไม่กรอบ)
10. บรรจงวางเครื่องยำลงบนจาน โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วง หอมแดงทอดและผักชี
11. จัดผักแนม เช่นแตงกวา มะเขือเทศ ต้นหอมแช่น้ำให้กรอบ หรือพริกขี้หนูสดหรือพริกแห้งทอดสำหรับพวกซาดิสซ์
12. กระดกเหล้าเบียร์เข้าปากเต็มๆ คำ แล้วตามด้วยยำสามกรอบ และพยายามทำหน้าให้อร่อย
เอาลงบนจาน โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วง และผักชี

เกิดมาเป็น "Byrd"



A man called "Byrd"
It shouldn’t be surprise, if there is a men named "Little Bird"(and “NOK-LEK” in Thai). It’s just a nickname that my mother has called me since the first day of my life. And I have been familiar with it. Until I’ve moved and settled in Canada, then there was a story.

Which new lifestyle, new job and new friends from many difference countries, my name is become difficultly called in English. Not only my nickname but also my real full name is not easy with English pronunciation. At my work, the mane “LEK” was already taken by my aunt. Then she got an idea to name me “Bird” which it’s translated from “NOK” in Thai. Well, I got an English name but to get away from an animal “Bird” I need to change to be “Byrd”. It's strange and modern which make people thought that is “Bert” from Robert. Since then it become my significantly new name. So, a man called Byrd

What matter is not a bad thing to have a guy name “Byrd” in this world. And I’m telling you that In the long journey of my life, There are a lots of stories on the ways that I passed by. It would be tales, stories or novels for you. Well, just come to visit my blog and you will learn that Byrdcompany blog is not a joke.

เกิดมาเป็น "Byrd" (ผู้ชายชื่อ "นก")
คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมั๊ง!! สำหรับผู้ชายชื่อ "นกเล็ก" มันก็แค่เป็นชื่อเล่นที่แม่ตั้งให้ตั้งแต่เกิดแล้วเราก็คุ้นเคยกับมันมายาวนาน จนกระทั่งย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ประเทศแคนาดานี่ มันจึงมีเรื่องราวเกิดขึ้น

ด้วย วิถีชิวิตใหม่, อาชีพการงานใหม่ และได้พบเพื่อนใหม่หลายเชื้อชาติหลายเผ่าพันธุ์ ชื่อที่เคยเรียกกันมาง่ายๆ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับการออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ ไม่เพียงแต่ชื่อเล่นที่เรียกยาก ชื่อจริงก็ยากยิ่งกว่าที่จะให้ฝรั่งออกเสียงให้ถูก แล้วที่ทำงานนั้น ชื่อเราที่เคยใช้ว่า “เล็ก” น้าสาวที่ทำงานอยู่ด้วยก็ใช้อยู่แล้ว น้าเค้ามีความคิดว่าควรหาชื่อใหม่ให้เพื่อจะได้ไม่เรียกชื่อซ้ำกัน แล้วก็เลยตั้งชื่อให้เป็น Bird ก็เอามาจากชื่อที่เป็น นก นั่นแหละ ก็ดีใจง่ะ ที่ได้ชื่อคุ้นกับลิ้นฝรั่ง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงตัวสะกดที่ออกมาเป็นชื่อนกที่เป็นสัตว์ เลยต้องเปลี่ยนตัว I เป็นตัว Y กลายเป็น Byrd แล้วอ่านออกเสียงเหมือนเดิม แจ้งเกิดได้เลย มันก็ดูแปลกและทันสมัยดี ฝรั่งเรียกได้ไม่ขัดปาก เพราะส่วนใหญ่คิดว่าเป็น Bert ที่มาจากคำว่า Robert ก็กลมกลืนกันไปได้ ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นผู้ชายชื่อ Byrd ที่อ่านออกเสียงเป็น เบิร์ด


เอา น่า... ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ที่จะมีผู้ชายชื่อ Byrd สักคนหนึ่งในโลกใบนี้ แล้วขอบอกซะก่อนนะ Byrd คนนี้มีเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตมากมายมาเล่าสู่กันฟัง อาจมีเรื่องเล่า เรื่องสั้นเรื่องยาว หรือนวนิยายมาถ่ายทอดให้ได้อ่านกัน แวะเข้ามาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ ก็แล้วกัน แล้วจะรู้ว่า Byrd's company blog ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น